ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรี อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช

Main Article Content

นิศา ดิษฐาน
ชนิกานต์ วัฒนภิรมย์

บทคัดย่อ

การศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูก และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรี อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช


ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ สตรีอายุ 30 - 60 ปี อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช คำนวณกลุ่มตัวอย่างได้ 404 คน ข้อมูลที่ได้มีความสมบูรณ์ ถูกต้อง และครบถ้วน 400 ชุด ใช้วิธีการสุ่มแบบมีระบบ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามความเชื่อด้านสุขภาพและการตรวจมะเร็งปากมดลูก ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาช 0.85 ใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยโลจิสติกพหุตัวแปรในการวิเคราะห์ข้อมูล


ผลการศึกษาพบว่า ความเชื่อด้านสุขภาพในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 71.50) เมื่อแยกเป็นรายด้าน พบว่า การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค การรับรู้ต่อความรุนแรงของโรค และการรับรู้ถึงประโยชน์ของการป้องกันโรค ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 58.30, 55.50 และ 78.00) ตามลำดับ สำหรับการรับรู้ต่ออุปสรรคของการปฏิบัติ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 62.50) สตรีมาตรวจมะเร็งปากมดลูก (ร้อยละ 74.00) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก พบว่า เมื่อสตรีเคยได้รับข้อมูลข่าวสารจะมีโอกาสตรวจคัดกรองมะเร็งปปากมดลูก เท่ากับ 1.76 เท่า เมื่อเทียบกับไม่เคยได้รับข้อมูลข่าวสาร (adj.OR= 1.76; 95%CI: 1.58-3.39) ส่วนปัจจัยอื่นไม่มีความสัมพันธ์ต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ฉะนั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังคงต้องมีการประชาสัมพันธ์การตรวจมะเร็งอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้ว่าการรับรู้อุปสรรคในการตรวจมะเร็งปากมดลูกอยู่ในระดับต่ำ และร่วมกับ อสม. ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูกที่ชัดเจน และจัดคลินิกบริการในชุมชน

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
ดิษฐาน น., & วัฒนภิรมย์ ช. (2025). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรี อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช. วารสารบัณฑิตศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต, 2(3), 58–75. สืบค้น จาก https://so15.tci-thaijo.org/index.php/GSLL/article/view/2331
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กรกฎ วิเชียรเทียบ, รังสันต์ ไชยคำ, ลัดดาวัล ฟองค์ และชัญญาภัค วงษ์ษา. (2566). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันมะเร็งปากมดลูกของสตรีในชุมชน. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข, 33(2), 124-137.https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tnaph/article/view/265095/180816

กระทรวงสาธารณสุข, กรมการแพทย์, สถาบันมะเร็ง, กลุ่มงานสนับสนุนวิชาการ. (2561). แนวทาง การตรวจคัดกรอง วินิจฉัย และรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก. โฆษิตการพิมพ์.

ชัชวาล นฤพนธ์จิรกุล, รัตนา ธรรมวิชิต และธานินทร์ สุธีประเสริฐ. (2557). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตรวจมะเร็งปากมดลูกของสตรีเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 23(6), 1022-1031. https://thaidj.org/index.php/JHS/article/view/791/709

นรี พุ่มจันทร์, เทพกร พิทยาภินันท์ และทัศนีย์ ประธาน. (2557). ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้ารับการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรีในพื้นที่สถานการณ์ความไม่สงบ จังหวัดยะลา: อำเภอบันนังสตา. วารสารบัณฑิตวิจัย, 5(2), 153-159.

นันทิดา จันต๊ะวงค์, ปิยะธิดา ตรีเดช, สุคนธา ศิริ และชาญวิทย์ ตรีเดช. (2560). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีกลุ่มเป้าหมายอายุ 30 - 60 ปี อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 28(1), 63-79. https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pnc/issue/view/9863/5284

พรรณี ปิ่นนาค. (2563). เหตุผลและปัจจัยของการไม่ไปรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก : กรณีศึกษา สตรีอายุ 30-60 ปี ในตำบลนาโพธิ์ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร. วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสุขภาพ, 3(1), 118-131. https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jhri/issue/view/16755

พิทยารัตน์ จิกยอง. (2567). ความสัมพันธ์ระหว่างแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีอายุ 30-60 ปี อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ [การศึกษาค้นคว้าอิสระปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

วราภรณ์ ศิริธรรมานุกุล. (2560). เหตุผลการมารับบริการ และความเชื่อด้านสุขภาพในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกของสตรีที่มารับบริการในโครงการป้องกัน และเฝ้าระวังมะเร็งปากมดลูก โรงพยาบาลจุฬาภรณ์. วารสารพยาบาลสภากาชาดไทย, 10(1), 126-144. https://he02.tci-thaijo.org/index.php/trcnj/article/view/96897/75676

ศริณธร มังคะมณี, อิศรา ศิรมณีรัตน์, ขวัญใจ เพทายประกายเพชร, จิริยา อินทนา, ชลิต เชาว์วิไลย และหวานใจ หลำพรม. (2567). ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการมารับบริการตรวจมะเร็งปากมดลูกของสตรีในจังหวัดราชบุรี. วารสารวิจัยเพื่อการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิต, 4(1), 11-22. https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/267448/182616

ศรีกิจ ศิริสมบัติ และบุญประจักษ์ จันทร์วิน. (2568). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการรับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรีกลุ่มเสี่ยง ตำบลละอาย อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช. วารสารวิจัยการพยาบาลและการสาธารณสุข, 5(2), e274135. https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jnphr/article/view/274135/187102

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช. (2566). รายงานประจำปี 2566. กระทรวงสาธารณสุข.

สำนักงานสาธารณสุขอำเภอพระพรหม. (2567). รายงานการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช.

Best, J. W. (1977). Research in Education. (3nded). Prentice-Hall.

Castellsagué, X. (2008). Natural history and epidemiology of HPV infection and cervical Cancer. Gynecologic Oncology, 110(3, Supplement 2), S4-S7. http://dx.doi.org/10.1016/j.ygyno.2008.07.045

Daniel, W. W. (1995). Biostatistics: A foundation for analysis in the health sciences. Wiley & Sons.

Delam, H., Izanloo, S., Bazrafshan, M. R., & Eidi, A. (2020). Risk factors for cervical cancer: An epidemiological review. Journal of Health Sciences & Surveillance System, 8(3), 105-109. https://doi.org/10.30476/jhsss.2020.86539.1092

Likert, R. (1932). A technique for the measurement of attitudes. Archives of Psychology, 22 (140), 5-55

Maiman, L. A. & Becker, M. H. (1974). The Health Belief Model: Origins and Correlates in Psychological Theory. Health Education Monographs, 2(4), 336-353. https://doi.org/10.1177/109019817400200404

Naing, L., Winn, T., & Rusli, B. N. (2006). Practical issues in calculating the sample size for prevalence studies. Archives of Orofacial Sciences, 1, 9-14. https://aos.usm.my/docs/Vol_1/09_14_ayub.pdf

Singh, D., Vignat, J., Lorenzoni, V., Eslahi, M., Ginsburg, O., Lauby-Secretan, B., Arbyn, P. M., Basu, P., Bray, F., & Vaccarella, S. (2023). Global estimates of incidence and mortality of cervical cancer in 2020: a baseline analysis of the WHO Global Cervical Cancer Elimination Initiative. Lancet Glob Health, 11(2), E197-E206.

World Health Organization. (2024, March 5). Cervical cancer. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/cervical-cancer.