วารสารบัณฑิตศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต https://so15.tci-thaijo.org/index.php/GSLL <table width="865"> <tbody> <tr> <td colspan="9" width="865"><strong>วารสารบัณฑิตศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต</strong></td> </tr> <tr> <td colspan="9">ISSN: 3027-883X (Online)</td> </tr> <tr> <td colspan="9"> </td> </tr> <tr> <td colspan="9"><strong>กำหนดออก</strong></td> </tr> <tr> <td colspan="9">ตีพิมพ์เผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ ราย 4 เดือน ในรูปแบบออนไลน์ดังนี้</td> </tr> <tr> <td colspan="9">ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน (Volume 1: January – April)</td> </tr> <tr> <td colspan="9">ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม (Volume 2: May – August)</td> </tr> <tr> <td colspan="9">ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม (Volume 3: September – December) </td> </tr> <tr> <td colspan="9"> </td> </tr> <tr> <td colspan="9"><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong></td> </tr> <tr> <td colspan="9">วารสารบัณฑิตศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตมีนโยบายรับตีพิมพ์บทความที่มีคุณภาพในด้านสังคมศาสตร์ ศิลปศาสตร์ </td> </tr> <tr> <td colspan="9">ศึกษาศาสตร์ วิทยาการจัดการ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ เกษตรศาสตร์และสหกรณ์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ </td> </tr> <tr> <td colspan="9">วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์การอาหาร วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และวิศวกรรมศาสตร์ </td> </tr> <tr> <td colspan="9">โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ คณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัย ตลอดจนผู้สนใจที่จะศึกษาค้นคว้า หรือเผยแพร่บทความ</td> </tr> <tr> <td colspan="9"> </td> </tr> <tr> <td colspan="9"><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></td> </tr> <tr> <td colspan="9">ไม่เสียค่าใช้จ่าย</td> </tr> </tbody> </table> สำนักบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช th-TH วารสารบัณฑิตศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3027-883X บทบรรณาธิการ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/GSLL/article/view/2200 ศรชัย สินสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-21 2025-08-21 2 3 2 2 การรักษาผู้ป่วยเด็กแบบทันตกรรม พร้อมมูลในรายที่มีฟันผุหลายตำแหน่ง : รายงานผู้ป่วย https://so15.tci-thaijo.org/index.php/GSLL/article/view/2383 <p>รายงานผู้ป่วยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการจัดการโรคฟันผุรุนแรงในเด็กปฐมวัยในชุดฟันผสมด้วยแผนการรักษาทางทันตกรรมพร้อมมูลสำหรับผู้ป่วยเด็ก กรณีศึกษาในเด็กหญิงไทยอายุ 8 ปี มาพบทันตแพทย์ด้วยอาการปวดฟันกรามน้ำนมบนขวาและล่างซ้ายมาประมาณ 2 วัน ปวดเวลารับประทานอาหารแล้วมีเศษอาหารติด จากการตรวจทางคลินิกและภาพรังสีพบฟันน้ำนมหลายซี่มีรอยผุขนาดใหญ่และลึกถึงโพรงประสาทฟัน โดยเฉพาะฟันกรามน้ำนมล่างซ้ายซี่ที่หนึ่ง (74) ซึ่งมีอาการแสดงของภาวะเยื่อบุโพรงประสาทฟันอักเสบแบบผันกลับได้และพบว่าฟันกรามน้ำนมบนขวาซี่ที่หนึ่ง (54) และฟันกรามน้ำนมบนขวาซี่ที่สอง (55) และฟันกรามน้ำนมล่างขวาซี่ที่สอง (85) มีรอยผุขนาดใหญ่ในด้านประชิดของฟัน นอกจากนี้ยังพบฟันผุในด้านบดเคี้ยวและด้านผิวฟันในฟันน้ำนมหลายตำแหน่งและพบฟันผุระยะเริ่มต้นในฟันแท้ที่กำลังขึ้นในช่องปาก</p> <p>แผนการรักษาทันตกรรมพร้อมมูลสำหรับผู้ป่วยรายนี้ ประกอบด้วย การปรับพฤติกรรมของผู้ป่วย การประเมินความเสี่ยงของการเกิดฟันผุและภาวะโภชนาการ การบูรณะด้วยเรซินเพื่อการป้องกันและการเคลือบหลุมร่องฟัน การบูรณะฟันน้ำนมที่ผุด้วยวัสดุอุดฟัน การรักษารากฟันน้ำนมแบบพัลพ์โพโทมีและทำครอบฟันเหล็กกล้าไร้สนิม การฝึกแปรงฟันแบบลงมือปฏิบัติ การติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่องร่วมกับการส่งเสริมทันตสุขศึกษาแก่ผู้ป่วยและผู้ปกครอง ผลลัพธ์ภายหลังการรักษาพบว่า ผู้ป่วยมีอาการปวดลดลงและหายเป็นปกติ สามารถใช้งานฟันกรามน้ำนมเพื่อทำหน้าที่บดเคี้ยวได้ ผู้ป่วยและผู้ปกครองให้ความร่วมมือในการรักษาและการทำกิจกรรมทันตสุขศึกษาอย่างต่อเนื่องและผู้ป่วยมีสุขอนามัยช่องปากดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การติดตามผลแสดงให้เห็นความสำเร็จของการรักษาภายหลังการติดตามผลการรักษาเป็นระยะเวลา 18 เดือน</p> <p>รายงานผู้ป่วยนี้บ่งชี้ถึงความสำคัญของการวินิจฉัยและการวางแผนการรักษาแบบทันตกรรมพร้อมมูลในผู้ป่วยเด็กที่มีฟันน้ำนมผุหลายซี่ เพื่อให้การรักษาที่ครอบคุลม เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ช่วยฟื้นฟูสุขภาพช่องปาก ป้องกันภาวะแทรกซ้อนและส่งเสริมพัฒนาการของระบบบดเคี้ยวที่ดีในระยะยาว</p> จันทิมา น้อยเขียว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-03 2025-12-03 2 3 76 97 ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของประชาชน ตำบลพิปูน อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช https://so15.tci-thaijo.org/index.php/GSLL/article/view/1959 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง&nbsp;มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม&nbsp;พฤติกรรม ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของประชาชน&nbsp;ตำบลพิปูน&nbsp;อำเภอพิปูน&nbsp;จังหวัดนครศรีธรรมราช&nbsp;และปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกัน&nbsp;และควบคุมโรคไข้เลือดออกของประชาชน&nbsp;ตำบล&nbsp;พิปูน&nbsp;อำเภอพิปูน&nbsp;จังหวัดนครศรีธรรมราช&nbsp;กลุ่มตัวอย่างจำนวน 384 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบหลายขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความรู้ ปัจจัยการรับรู้ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และพฤติกรรมป้องกันโรคไข้เลือดออกอยู่ในระดับสูง ส่วนเจคติอยู่ในระดับปานกลาง และพบว่าปัจจัยที่ส่งผลพฤติกรรมป้องกันโรคไข้เลือดออก ได้แก่ การได้รับแรงจูงใจ ปัจจัยด้านการรับรู้ เจตคติ ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชน และความรู้ส่งผลต่อพฤติกรรมได้ ร้อยละ 46.40 (R<sup>2 </sup>= 0.464) โดยการได้รับแรงจูงใจ ปัจจัยด้านการรับรู้ เจตคติ และระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชน ส่งผลต่อพฤติกรรมไปในทิศทางเชิงบวก ส่วนความรู้ ส่งผลต่อพฤติกกรมไปในทิศทางเชิงลบ</p> <p>ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยครั้งนี้ การเสริมสร้างแรงจูงใจจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง&nbsp;การสร้างเจตคติที่ถูกต้องต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก&nbsp;เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคไข้เลือดออก รวมไปถึงการอบรมฟื้นฟูให้ความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออก โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชนมีการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกอย่างต่อเนื่องต่อไป</p> สุกัญญา กาญจนสิชล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-21 2025-08-21 2 3 5 21 รูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ไขปัญหาการซื้อยาชุดจากร้านชำ ตำบลเจ๊ะบิลัง อำเภอเมือง จังหวัดสตูล https://so15.tci-thaijo.org/index.php/GSLL/article/view/1911 <p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ปัญหาการซื้อยาชุดจากร้านชำ แบ่งการวิจัยเป็น 3 ระยะ คือ 1) สภาพปัญหาการซื้อยาชุดจากร้านชำ 2) พัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ปัญหาการซื้อยาชุดจากร้านชำ 3) ประเมินประสิทธิผลรูปแบบ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 21 คน ประชาชนที่ซื้อยาชุดจากร้านชำ 63 คน และผู้ประกอบการร้านชำ 22 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ paired t-test</p> <p> ผลการวิจัย 1) สภาพปัญหาการซื้อยาชุดจากร้านชำ พบว่า ประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับโทษและอันตรายจากยาชุดระดับปานกลาง ร้อยละ 55.60 พฤติกรรมเกี่ยวกับการซื้อยา ระดับน้อย ร้อยละ 52.38 ร้อยละ 58.73 และพบว่า ร้านชำมีการจำหน่ายยาสามัญประจำบ้านร้อยละ 72.27 จำหน่ายยาอันตรายร้อยละ 22.72 จำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ไม่มีทะเบียนและยาหมดอายุหรือยาเสื่อมคุณภาพ 4.50 2) ผลการพัฒนาทำให้ประชาชน มีรูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ปัญหาการซื้อยาชุดจากร้านชำ มีความเหมาะสม และประชาชนมีส่วนร่วมดำเนินการทุกขั้นตอน มีมาตรการทางสังคมในการแก้ปัญหาการซื้อยาชุดจากร้านชำ ประชาชน ผู้ประกอบการ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้หลากหลายช่องทาง และได้รับข่าวสารที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น และ 3) การประเมินประสิทธิผลรูปแบบในประชาชน พบว่า ความรู้ พฤติกรรมและความพึงพอใจต่อรูปแบบการแก้ปัญหาการซื้อยาชุดจากร้านชำ หลังทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;0.05) และ ร้านชำจำหน่ายยาสามัญประจำบ้าน ก่อนพัฒนา ร้อยละ 72.27 หลังพัฒนา ร้อยละ 95.50 จำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ไม่มีทะเบียนและยาหมดอายุ ก่อนพัฒนา ร้อยละ 4.50 หลังพัฒนาไม่พบจำหน่าย</p> <p>ข้อค้นพบจากการวิจัยควรนำรูปแบบไปประยุกต์ในพื้นที่อื่น ๆ ที่มีปัญหาเช่นเดียวกัน และควรมีการสนับสนุนสื่อความรู้ โดยนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ ในการส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีความรู้และมีพฤติกรมการใช้ยาอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น</p> โสพินทร์ แก้วมณี อุดมสิน ไทยเจริญ ตระกูล ศรีสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-21 2025-08-21 2 3 22 42 การพัฒนาสื่อแอนิเมชันการจัดการขยะในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี https://so15.tci-thaijo.org/index.php/GSLL/article/view/1501 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสื่อแอนิเมชันให้ความรู้เรื่องการจัดการขยะในโรงงานอุตสาหกรรมตามมาตรฐาน ISO14001:2015</p> <p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนา เครื่องมือวิจัย ได้แก่ สื่อแอนิเมชันที่ให้ความรู้เรื่องการจัดการขยะในโรงงานอุตสาหกรรมที่พัฒนาขึ้น แบบทดสอบความรู้แบบตัวเลือกถูกและผิดก่อนและหลังการอบรม และแบบประเมินความพึงพอใจ ซึ่งผ่านการตรวจสอบเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน โดยใช้เกณฑ์การประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับตามวิธีของลิเคิร์ท จากนั้นใช้สื่อแอนิเมชันอบรมกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายผลิตของโรงงานประกอบชิ้นส่วนยานยนต์แห่งหนึ่ง จังหวัดปทุมธานี ทั้งหมดจำนวน 30 คน โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีเจาะจง โดยประเมินความรู้ก่อนและหลังอบรม และประเมินความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบทีแบบจับคู่</p> <p>ผลการประเมินสื่อแอนิเมชันด้านเนื้อหา ด้านคุณภาพสื่อ และด้านแบบทดสอบ โดยผู้ทรงคุณวุฒิมีค่าเฉลี่ย 4.42, 4.50 และ 4.20 ซึ่งอยู่ในระดับมาก มากที่สุด และมาก ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 21 คน (ร้อยละ 70) และเป็นเพศชาย 9 คน (ร้อยละ 30) ช่วงอายุส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 31-40 ปี (ร้อยละ 43.30) และอายุงานส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 1-5 ปี (ร้อยละ 63.30) คะแนนความรู้ก่อนและหลังการอบรมด้วยสื่อแอนิเมชันมีค่าเฉลี่ย 10.10± 1.86 และ 13.60±1.04 คะแนน ตามลำดับ โดยคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังอบรมมีค่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 0.05 ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างต่อสื่อแอนิเมชันคือ 4.35 อยู่ในระดับมาก ดังนั้นการใช้สื่อแอนิเมชันช่วยให้พนักงานมีความรู้ในการจัดการขยะในโรงงานอุตสาหกรรมตามมาตรฐาน ISO14001:2015</p> ภูเบนทร์ พันธุ์เวช สุดาว เลิศวิสุทธิไพบูลย์ สิริรัตน์ สุวณิชย์เจริญ กุณฑลีย์ บังคะดานรา อภิรดี ศรีโอภาส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-23 2025-09-23 2 3 43 57 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรี อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช https://so15.tci-thaijo.org/index.php/GSLL/article/view/2331 <p>การศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูก และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรี อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช</p> <p>ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ สตรีอายุ 30 - 60 ปี อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช คำนวณกลุ่มตัวอย่างได้ 404 คน ข้อมูลที่ได้มีความสมบูรณ์ ถูกต้อง และครบถ้วน 400 ชุด ใช้วิธีการสุ่มแบบมีระบบ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามความเชื่อด้านสุขภาพและการตรวจมะเร็งปากมดลูก ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาช 0.85 ใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยโลจิสติกพหุตัวแปรในการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ความเชื่อด้านสุขภาพในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 71.50) เมื่อแยกเป็นรายด้าน พบว่า การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค การรับรู้ต่อความรุนแรงของโรค และการรับรู้ถึงประโยชน์ของการป้องกันโรค ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 58.30, 55.50 และ 78.00) ตามลำดับ สำหรับการรับรู้ต่ออุปสรรคของการปฏิบัติ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 62.50) สตรีมาตรวจมะเร็งปากมดลูก (ร้อยละ 74.00) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก พบว่า เมื่อสตรีเคยได้รับข้อมูลข่าวสารจะมีโอกาสตรวจคัดกรองมะเร็งปปากมดลูก เท่ากับ 1.76 เท่า เมื่อเทียบกับไม่เคยได้รับข้อมูลข่าวสาร (adj.OR= 1.76; 95%CI: 1.58-3.39) ส่วนปัจจัยอื่นไม่มีความสัมพันธ์ต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ฉะนั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังคงต้องมีการประชาสัมพันธ์การตรวจมะเร็งอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้ว่าการรับรู้อุปสรรคในการตรวจมะเร็งปากมดลูกอยู่ในระดับต่ำ และร่วมกับ อสม. ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูกที่ชัดเจน และจัดคลินิกบริการในชุมชน</p> นิศา ดิษฐาน ชนิกานต์ วัฒนภิรมย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-03 2025-12-03 2 3 58 75