รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการอ่านการเขียนของนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มุ่งพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการอ่านการเขียนของนักเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 โดยมีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาและยืนยันองค์ประกอบของการบริหารแบบมีส่วนร่วมและการส่งเสริมการอ่านการเขียน 2) สร้างรูปแบบ 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบ และ 4) ประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี เก็บข้อมูลจากผู้บริหารสถานศึกษา 73 คน ครูและบุคลากร 73 คน สนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน และทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย 90 คนจากสถานศึกษา 90 แห่ง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ (ค่าความเชื่อมั่น .87) แบบประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบและรูปแบบ แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจก่อน-หลังเรียน (ค่าความเชื่อมั่น .94) แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบประเมินความเป็นไปได้และประโยชน์ วิเคราะห์ด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีความต้องการจำเป็นปรับแก้ (PNI Modified) ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) การทดสอบค่าที (t-test) และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) กาศึกษาและยืนยันองค์ประกอบของการบริหารแบบมีส่วนร่วมและการส่งเสริมการอ่านการเขียน พบว่า การบริหารแบบมีส่วนร่วมประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ การร่วมวางแผน การร่วมตัดสินใจ การร่วมรับผิดชอบและรับผลประโยชน์ การร่วมดำเนินการ และการร่วมติดตามและประเมินผล ขณะที่การส่งเสริมการอ่านการเขียนประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ การพัฒนาผู้เรียน การพัฒนาครู การบริหารจัดการ สื่อและแหล่งเรียนรู้ และการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน ทั้งนี้ องค์ประกอบทั้งหมดได้รับการยืนยันว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด 2) ผลศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการอ่านการเขียน พบว่า สภาพปัจจุบันของการบริหารแบบมีส่วนร่วมและการส่งเสริมการอ่านการเขียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุดทุกองค์ประกอบ ผลการวิจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างสภาพที่เป็นอยู่กับสภาพที่คาดหวัง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและปรับปรุงอย่างเป็นระบบ 3) ผลการสร้างรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการอ่านการเขียน พบว่า สามารถพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการอ่านการเขียนได้ โดยรูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 6 ส่วน ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการ การวัดและประเมินผล และเงื่อนไขความสำเร็จ รูปแบบดังกล่าวได้จากการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และมีความสอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 4) การประเมินรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการอ่านการเขียนของนักเรียน พบว่า รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการอ่านการเขียนที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งในด้านการนำไปใช้จริงและการสนับสนุนการพัฒนาการบริหารจัดการในสถานศึกษา อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการอ่านการเขียนของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพการทดลองใช้พบว่าคะแนนเฉลี่ยหลังการพัฒนาเพิ่มขึ้น 3.49 คะแนน (11.63%) ความพึงพอใจและการประเมินความเป็นไปได้ประโยชน์อยู่ระดับมากที่สุดทุกองค์ประกอบ สรุปได้ว่า รูปแบบมีความเหมาะสม ใช้ได้จริง และช่วยยกระดับทักษะการอ่านการเขียนอย่างยั่งยืน
Article Details
เอกสารอ้างอิง
จิระภา ธรรมนำศีล. (2562). ผลของการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการต่อการพัฒนาทักษะครู. วารสารวิจัยการศึกษา, 13(4), 145–158.
จิรัฐิติกาล บุญอินทร์. (2561). การบริหารแบบมีส่วนร่วมกับการพัฒนาทักษะภาษาไทย. วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์, 19(1), 121–135.
ฉวีลักษณ์ บุญยะกาญจน. (2556). บทบาทของผู้ปกครองในการส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้ของบุตรหลาน. วารสารครุศาสตร์, 37(3), 201–215.
ดวงเดือน วินิจฉัย. (2561). การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองกับการบริหารสถานศึกษา. วารสารวิจัยทางการศึกษา, 12(3), 88–102.
ทองคำ อำไพ. (2563). การนิเทศภายในเพื่อส่งเสริมทักษะการจัดการเรียนรู้ของครู. วารสารครุศาสตร์วิจัย, 22(2), 99–114.
นัฐพล พันโน. (2565). นโยบายและการติดตามการจัดการศึกษาเพื่อการอ่านออกเขียนได้. วารสารบริหารการศึกษา, 14(1), 55–72.
นิโลบล ทองวิเศษ, และคณะ. (2563). การพัฒนานิสัยรักการอ่านของนักเรียนประถมศึกษา. วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์, 40(3), 33–49.
ณัฐพงศ์ เชื้อเพชร. (2560). การพัฒนาสมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาไทย. วารสารศึกษาศาสตร์, 12(2), 77–95.
ปณตนนท์ เถียรประภากุล. (2565). การพัฒนาสมรรถนะครูด้านการคิดวิเคราะห์. วารสารการวิจัยการศึกษา, 15(1), 112–128.
ประจวบ หนูเลี้ยง, และคณะ. (2558). การจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วม. วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษา, 10(1), 101–115.
ประภาพร ซื่อสุทธิกุล. (2550). การมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครองในการพัฒนาทักษะภาษาไทย. วารสารภาษาไทยศึกษา, 3(2), 77–90.
ประภาศิริ คูนาคำ. (2558). รูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม. วารสารการบริหารการศึกษา, 11(2), 66–79.
วิโรจน์ ผลแย้ม. (2557). การบริหารแบบมีส่วนร่วมในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 37(2), 45–60.
อัจฉรา ประดิษฐ์. (2549). ปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้. วารสารการศึกษาไทย, 7(1), 25–40.
ช่วงมณี จงเพียรพุฒสุข. (2563). การพัฒนาการบริหารสถานศึกษาเชิงมีส่วนร่วม. วารสารบริหารการศึกษา, 13(2), 55–70.
ธีระ รุญเจริญ. (2550). การบริหารการศึกษา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
Argyris, C. (1953). Human problems with budgets. Harvard Business Review, 31(1), 97–110.
Barnes, J. (2015). Parental involvement in children’s education: A review of research. Educational Review, 67(3), 313–330.
Cohen, J. M., & Uphoff, N. T. (1981). Rural development participation: Concepts and measures for project design, implementation, and evaluation. Rural Development Committee, Cornell University.
Keeves, J. P. (1988). Educational research, methodology, and measurement: An international handbook. Pergamon Press.
Romanoff, R. (1980). Participation in decision-making. Human Relations, 33(1), 1–18.
Swansburg, R. C., & Swansburg, R. J. (2002). Introduction to management and leadership for nurse managers (3rd ed.). Jones and Bartlett Publishers.
Zhiyenbayeva, A., Ospanova, N., & Kalybekova, A. (2022). Digital technologies in literacy development. International Journal of Education and Practice, 10(1), 45–56.