https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/issue/feed
Journal of Integration Social Sciences and Development
2025-12-09T16:02:15+07:00
Open Journal Systems
<p> </p> <p><strong>จุดมุ่งหมายและขอบเขต (</strong><strong>Aim and Scope)</strong></p> <p>Journal of Integration Social Sciences and Development <a href="https://portal.issn.org/resource/ISSN/2985-2137">ISSN : 2985-2137 (Online)</a> มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ในสาขาที่เกี่ยวข้องด้านสังคมศาสตร์ ได้แก่ สาขารัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการจัดการ สาขาศึกษาศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์ ปีละ 2 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร<br /></strong> แต่เดิมวารสาร Journal of Integration Social Sciences and Development เผยแพร่บทความปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน), ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม) และได้มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการออกเผยแพร่บทความเป็นปีละ 3 ฉบับ โดยได้ดำเนินการตั้งแต่ ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน 2569) เป็นต้นมา ปัจจุบันวารสาร Journal of Integration Social Sciences and Development มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้<br /> - ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน<br /> - ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม <br /> - ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> บทความวิจัย และบทความวิชาการ มีอัตราค่าตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย และบทความวิชาการ (ภาษาไทย) บทความละ 4,000 บาท<br /> 2) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาอังกฤษ) บทความละ 6,000 บาท<br /> โดยชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ภายหลังจากที่กองบรรณาธิการพิจารณาความสมบูรณ์ และความถูกต้องตามรูปแบบแล้ว และส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินพิจารณาบทความ <strong>(เก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์เมื่อเข้าสู่กระบวนการ Review)</strong> อนึ่ง การพิจารณารับบทความเพื่อลงตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของบรรณาธิการถือเป็นอันสิ้นสุด </p> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน</li> <li>บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ</li> <li>เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิ</li> <li>ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</li> </ol> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ</strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย และบทความวิชาการ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) </li> <li>เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ</li> <li>ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์</li> <li>เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</li> </ol> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์:<br /></strong>ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์ ฯลฯ) e-mail: ajisd2435@gmail.com โทร. 080-7743578 ID Line : ajisd2435 (ดร.สมใจ มณีวงษ์: บรรณาธิการ)</p> <p><strong>สำหรับผู้แต่ง<br /></strong>เทมเพลตบทความวิจัย <a href="https://docs.google.com/document/d/1Au1mWZgrVjOZfKWf6MsTtI85aLuF7jEm/edit">https://docs.google.com/document/d/1Au1mWZgrVjOZfKWf6MsTtI85aLuF7jEm/edit</a> <br />เทมเพลตบทความวิชาการ <a href="https://docs.google.com/document/d/1FPO2h7RxD-S8BJp4ECAKMtJgpG4fztvj/edit">https://docs.google.com/document/d/1FPO2h7RxD-S8BJp4ECAKMtJgpG4fztvj/edit</a></p>
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2678
หลักพุทธบริหารการศึกษา: การบูรณาการหลักการ แนวคิด และทฤษฎีในหลักธรรมเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาที่สมบูรณ์ในศตวรรษที่ 21
2025-12-09T15:56:21+07:00
พระมหาเกียรติศักดิ์ กิตฺติปาโล
ricetree2563@gmail.com
เอกลักษณ์ เพ็งพรหม
ricetree2563@gmail.com
<p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์หลักการ แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการศึกษาตามแนวทางพุทธธรรม ซึ่งเรียกรวมว่า “หลักพุทธบริหารการศึกษา” โดยเน้นการบูรณาการหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) ไตรสิกขา 2) อริยมรรคมีองค์ 8 3) พรหมวิหาร 4 4) สังคหวัตถุ 4 และ 5) หลักการพึ่งตนเอง เพื่อพัฒนาระบบการศึกษาที่เน้นความสมดุลระหว่างความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 โดยบทความนำเสนอการวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างแนวคิดทางพุทธธรรมกับทฤษฎีเชิงระบบ เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสอดคล้องเชิงโครงสร้างและกระบวนการที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้จริงในการบริหารสถานศึกษา ทั้งในด้านการพัฒนาศีลธรรม ความสัมพันธ์ในองค์กร และการเสริมสร้างศักยภาพของผู้เรียนและบุคลากรให้สามารถพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน อันเป็นการตอบโจทย์ต่อความท้าทายของระบบการศึกษาในยุคปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับวิกฤตทางจิตวิญญาณและจริยธรรมอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2254
ผลของการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้โยคะที่มีต่อสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ ของนักเรียนประถมศึกษาที่มีภาวะน้ำหนักเกิน
2025-08-31T10:02:19+07:00
ธนุพร ลาภไธสงค์
cmu_kku@hotmail.com
จักรินทร์ ปาระพิมพ์
cmu_kku@hotmail.com
ธัญญาวัฒน์ หอมสมบัติ
cmu_kku@hotmail.com
<p> การวิจัยแบบกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้โยคะที่มีต่อสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับสุขภาพของนักเรียนประถมศึกษาที่มีภาวะน้ำหนักเกิน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน (ดัชนีมวลกาย ≥ 23) จำนวน 32 คน อายุระหว่าง 10 – 12 ปี ได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้โยคะเพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับสุขภาพ ดำเนินการเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 1 ชั่วโมง (วันจันทร์ พุธ และศุกร์) และแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับสุขภาพก่อนและหลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 8 การทดสอบประกอบด้วย การวัดองค์ประกอบร่างกายด้วยเครื่อง X - scan plus II ความอ่อนตัว อัตราการเต้นของหัวใจ ความทนทานของกล้ามเนื้อ และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานด้วยการทดสอบ Dependent t - test เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับสุขภาพของนักเรียนก่อนและหลังการจัดกิจกรรม โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า การเปรียบเทียบสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับสุขภาพของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการออกกำลังกายด้วยโยคะในสัปดาห์ที่ 8 แสดงให้เห็นว่า ตัวชี้วัดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ดัชนีมวลกาย ความอ่อนตัว ระยะทางกระโดดไกล และจำนวนครั้งการลุกนั่งใน 60 วินาที ขณะที่ตัวชี้วัดด้านมวลร่างกายไม่รวมไขมัน มวลกล้ามเนื้อ มวลกล้ามเนื้อติดกระดูก มวลไขมัน และเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2591
ผลของการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมนันทนาการต่อสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์ กับสุขภาพของนักเรียนมัธยมศึกษา
2025-11-28T15:27:30+07:00
จิตรัตดา ธรรมเทศ
sthammathes@gmail.com
สมชาย ธรรมเทศ
sthammathes@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองขั้นต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมนันทนาการต่อสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับสุขภาพของนักเรียนมัธยมศึกษาก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมนันทนาการ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 80 คน โรงเรียนอุดรพัฒนาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมนันทนาการ แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กและเยาวชน อายุ 7-18 ปี ของกรมพลศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานโดยใช้การทดสอบ paired t-test ผลการศึกษา พบว่า เมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมนันทนาการ กลุ่มตัวอย่างมีความอ่อนตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขนและท้อง และความอดทนของระบบหัวใจ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมนันทนาการมีศักยภาพในการส่งเสริมสมรรถภาพทางกายของนักเรียนอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ กิจกรรมลักษณะนี้สามารถประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมสุขภาพ กระตุ้นแรงจูงใจในการออกกำลังกาย และสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกสนานและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ทั้งนี้งานวิจัยเสนอแนะให้สถานศึกษาส่งเสริมและจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมนันทนาการอย่างต่อเนื่องในหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกายและใจของนักเรียนในระยะยาว</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2592
ประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดหนองบัวลำภู
2025-11-28T15:35:29+07:00
กานดา เลิศโกเมนกุล
Anubarnkanwadeeschool@gmail.com
ศศิรดา เเพงไทย
Anubarnkanwadeeschool@gmail.com
<p> การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดหนองบัวลำภู 2. เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดหนองบัวลำภู จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร และครูผู้สอนในสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดหนองบัวลำภู กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie & Morgan ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 191 คน โดยแบ่งเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 19 คน เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และครูผู้สอนจำนวน 172 คน สุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความตรงเชิงเนื้อหาตั้งแต่ 0.67 - 1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.844 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ ค่าที (t-test) แบบ Independent Samples การวิเคราะห์ความแปลปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และความแตกต่างรายคู่ ของเซฟเฟ่ (Scheffe’)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า </p> <p> 1. ประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดหนองบัวลำภู โดยรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.38) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย (= 4.43) รองลงมา คือ ด้านการสอนที่มีประสิทธิภาพ ( = 4.42) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและมีวิสัยทัศน์ ( = 4.31)</p> <p> 2. ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ที่มีตำแหน่งและระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดหนองบัวลำภู โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดหนองบัวลำภู โดยรวมไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ แต่เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านในแต่ละด้าน พบว่า ด้านการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย และด้านการวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2593
การยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปกล้วยน้ำว้าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี: กรณีกลุ่มแปรรูปกล้วย อำเภอปากชม จังหวัดเลย
2025-11-28T15:47:38+07:00
เมทยา อิ่มเอิบ
Methaya.ime@lru.ac.th
เยาว์ธิดา รัตนพลแสน
Methaya.ime@lru.ac.th
ขนิษฐา หาระคุณ
Methaya.ime@lru.ac.th
รวัฒน์ มันทรา
Methaya.ime@lru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของกระบวนการผลิตและแปรรูปกล้วยน้ำว้าของกลุ่มแปรรูปกล้วย อำเภอปากชม จังหวัดเลย และ 2) เพื่อการยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปกล้วยน้ำว้าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี: กรณีกลุ่มแปรรูปกล้วย อำเภอปากชม จังหวัดเลย ใช้ระเบียบวิจัยแบบผสมผสาน โดยใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ และแบบสอบถามความพึงพอใจ กลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 148 คน ที่สนใจเข้ากลุ่มแปรรูปผลิตผงกล้วยอินทรีย์ อำเภอปากชม จังหวัดเลย ผลการวิจัย พบว่า จากการรวมตัวของกลุ่มผลิตผงกล้วยอินทรีย์ ที่ได้รับอบการให้ความรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการแปรรูปกล้วย ทำให้ได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ผงกล้วยอินทรีย์ 3 แบบ คือ แบบถุง แบบกระปุก และแบบแคปซูล ซึ่งมีระดับความพึงพอใจต่อผลิตผงกล้วยอินทรีย์ และระดับความพึงพอใจต่อต่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่กลุ่มแปรรูปผลิตผงกล้วยอินทรีย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เทคโนโลยีช่วยในการแปรูปผลิตผงกล้วยอินทรีย์ คือ ชุดสไลด์กล้วย ชุดเครื่องตากพลังงานแสงอาทิตย์ และเครื่องบดละเอียด ทำให้กลุ่มมีการยกระดับสร้างมูลค่าเพิ่มผงกล้วยอินทรีย์ เกิดมูลค่าเพิ่มสร้างรายได้ มีความเข้าใจในวิธีการจัดการธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้เกิดขึ้นได้อย่างไรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2594
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย เรื่อง คำและชนิดของคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยแบบฝึกทักษะ
2025-11-28T15:56:27+07:00
ธนกร หันจางสิทธิ์
thanakonhanjangsit126@gmail.com
ละดา ดอนหงษา
thanakonhanjangsit126@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง คำและชนิดของคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยแบบฝึก 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง คำและชนิดของคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยแบบฝึกทักษะ กับเกณฑ์ร้อยละ 75 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยแบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองไผ่ จังหวัดสกลนคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้อง จำนวน 19 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความยากความง่ายระหว่าง 0.40 - 0.80 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.32 - 0.77 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าทีแบบไม่อิสระ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย เรื่อง คำและชนิดของคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยแบบฝึกทักษะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง คำและชนิดของคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียน ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยแบบฝึกทักษะ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ CIRC เสริมด้วยแบบฝึกทักษะ อยู่ในระดับมาก</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2596
การใช้รูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษา และความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3
2025-11-28T16:12:53+07:00
วัชราภรณ์ อาสนะ
arsana.w@hotmaill.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษาและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัย รวมถึงออกแบบและพัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่บูรณาการทักษะทั้งสองด้านให้เหมาะสมกับบริบทการเรียนรู้จริงของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 การวิจัยใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในลักษณะเชิงทดลอง โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเด็กปฐมวัย จำนวน 32 คน พร้อมครูผู้สอนและผู้ปกครอง โดยใช้เครื่องมือสำคัญ ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า แบบประเมินความสามารถทางภาษาและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็ก แบบบันทึกพฤติกรรม และแบบประเมินคุณภาพรูปแบบการจัดประสบการณ์ โดยวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การจัดประสบการณ์ในปัจจุบันยังอยู่ในระดับปานกลางโดยมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและการฝึกอบรมครู รูปแบบการจัดประสบการณ์ที่พัฒนาขึ้นซึ่งบูรณาการกิจกรรมส่งเสริมภาษาและอารมณ์ผ่านการเล่าเรื่องและบทบาทสมมติ มีประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญในการพัฒนาคะแนนความสามารถทางภาษาและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็ก (p < .05) รวมทั้งได้รับความพึงพอใจสูงจากครูและผู้เกี่ยวข้อง (Mean = 4.35, SD = 0.42) ผลวิจัยชี้ให้เห็นว่า รูปแบบการจัดประสบการณ์นี้เหมาะสมและสามารถนำไปขยายผลเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กในบริบทอื่น ๆ ได้</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2597
โมเดลความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างของภาวะผู้นำที่ส่งผลต่อความภักดีของพนักงานในธุรกิจบริการภาคการท่องเที่ยวของบริษัท ก ผ่านการสนับสนุนจากองค์กร และการสื่อสารภายใน ในฐานะตัวแปรกำกับ
2025-11-28T16:18:06+07:00
ธนิดา กิจจารักษ์
ood_04@hotmail.com
ธีรศักดิ์ สุขาบูลย์
ood_04@hotmail.com
สุดที่รัก นุชนาถ
ood_04@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำ การสนับสนุนจากองค์กร การสื่อสารภายใน และความภักดีของพนักงาน และ (2) ศึกษาโมเดลความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างของภาวะผู้นำที่ส่งผลต่อความภักดีของพนักงานผ่านการสนับสนุนจากองค์กร และการสื่อสารภายใน ในฐานะตัวแปรกำกับ โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ทำการเก็บกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานในธุรกิจบริการภาคการท่องเที่ยวของบริษัท ก จำนวน 500 คน โดยการคำนวณตามสูตรของ Comrey and Lee (1992) สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการอาศัยความน่าจะเป็นและใช้การสุ่มอย่างง่าย สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์การกระจาย และการวิเคราะห์สมการเชิงโครงสร้างด้วยโปรแกรมทางสถิติ ADANCO2.7</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) ภาพรวมของตัวแปรที่ใช้ในงานวิจันยอยู่ในระดับมาก (4.04, S.D.=.549) โดย ภาวะผู้นำการสนับสนุนจากองค์กร การสื่อสารภายใน และความภักดีของพนักงาน มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.04, 3.99, 4.07 และ 4.06 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมีค่าอยู่ที่ .584, .533, .526, และ .553 ตามลำดับ และ (2) โมเดลความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างของภาวะผู้นำที่ส่งผลต่อความภักดีของพนักงานในธุรกิจบริการภาคการท่องเที่ยวของบริษัท ก ผ่านการสนับสนุนจากองค์กร และการสื่อสารภายใน ในฐานะตัวแปรกำกับ โดยเรียงค่าอิทธิพลรวมเชิงประจักษ์เรียงลำดับจากมากไปน้อย คือ การสื่อสารภายใน (TE=0.858) การสนับสนุนจากองค์กร (TE=0.812) และภาวะผู้นำ (TE=0.803) ส่งผลโดยรวมต่อความภักดีของพนักงาน แปลความได้ว่า การสื่อสารภายในองค์กรมีความสำคัญต่อการปฏิบัติงานของพนักงานภายในธุรกิจบริการภาคการท่องเที่ยวของบริษัท ก มากกว่าภาวะผู้นำ และการสนับสนุนจากองค์กร ดังนั้นบริษัทควรมีการสนับสนุนวิธีการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การปฏิบัติงานของพนักงานเกิดความชัดเจน และการสื่อสารที่ชัดเจนจะต้องเป็นผลที่มาจากการได้รับการสนับสนุนจากองค์กรในสายงานและจากภาวะผู้นำเช่นกัน</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2598
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านภาษาไทยเพื่อความเข้าใจ โดยใช้เทคนิค 5W1H เสริมด้วยผังความคิด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
2025-11-28T16:25:16+07:00
วัชระ พิมพ์สิทธิ์
watcharaptopzaza.ohm99@gmail.com
ละดา ดอนหงษา
watcharaptopzaza.ohm99@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H เสริมด้วยผังความคิด 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างหลังการจัดการเรียนโดยใช้เทคนิค 5W1H เสริมด้วยผังความคิด กับเกณฑ์ร้อยละ 75 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H เสริมด้วยผังความคิด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองไผ่ ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 21 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านภาษาไทยเพื่อความเข้าใจ มีค่าความยากความง่ายระหว่าง 0.44 - 0.74 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.42 - 0.67 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะหค่าที แบบไม่เป็นอิสระ (dependent t-test) และแบบกลุ่มเดียว One Sample t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1. ผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านภาษาไทยเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H เสริมด้วยผังความคิด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05</p> <p> 2. ผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านภาษาไทยเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H เสริมด้วยผังความคิด สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H เสริมด้วยผังความคิด อยู่ในระดับมาก</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2662
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อส่งเสริมความสามารถ ในการจัดการเรียนรู้ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน
2025-12-09T14:00:59+07:00
ละดา ดอนหงษา
Anna102497@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและตรวจสอบรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อส่งเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน 2) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น และ 3) ศึกษาความพึงพอใจ ต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก มีแบบแผนการวิจัยและพัฒนา 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การวิจัย (Research : R<sub>1</sub>) การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนา (Development : D<sub>1</sub> ) การออกแบบและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ขั้นตอนที่ 3 การวิจัย (Research : R<sub>2</sub>) การทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ และขั้นตอนที่ 4 การพัฒนา (Development : D<sub>2</sub>) การประเมินผลรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยพิชญบัณฑิต ชั้นปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้อง จำนวน 23 คน ได้จากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก แบบประเมินความสามารถในการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติทดสอบ t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1. ได้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบ 2) จุดมุ่งหมายของรูปแบบ 3) เนื้อหาสาระการเรียนรู้ 4) กระบวนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งมี 6 ขั้นตอนได้แก่ ขั้นที่ 1 นำเสนอมโนทัศน์กว้างล่วงหน้าก่อนการสอน ขั้นที่ 2 เผชิญปัญหา ขั้นที่ 3 ใช้คำถามกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหา ขั้นที่ 4 วางแผนในการแสวงหาความรู้ ขั้นที่ 5 ดำ เนินการแสวงหาความรู้ ขั้นที่ 6 วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลข้อมูล นำเสนอ 5) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และรูปแบบมีประสิทธิภาพโดยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก</p> <p> 2. ผลการประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้ผู้เรียนมีความสามารถในการจัดการเรียนรู้โดยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาออกแบบการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 3. ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อส่งเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน ภายหลังการทดลองโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2663
ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ STAD เสริมด้วยสื่อประสมที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์และพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
2025-12-09T14:11:18+07:00
อชิรญา เกริกกีรติ
nn.pachob@gmail.com
สมชาย พาชอบ
nn.pachob@gmail.com
ยุภาวดี พรมเสถียร
nn.pachob@gmail.com
<p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ ระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ STAD เสริมด้วยสื่อประสม 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ STAD เสริมด้วยสื่อประสมกับเกณฑ์ร้อยละ 75 3) ศึกษาพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม และ4) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ STAD เสริมด้วยสื่อประสม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอุดรพิชัยรักษ์พิทยา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 30 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความยากง่าย ระหว่าง 0.34 - 0.72 ค่าอำนาจจำแนก ระหว่าง 0.27 - 0.68 และค่าความเชื่อมั่น 0.88 3) แบบประเมินพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ และการทดสอบค่าทีแบบกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ STAD เสริมด้วยสื่อประสม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ STAD เสริมด้วยสื่อประสม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. พฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD เสริมด้วยสื่อประสม โดยรวมอยู่ในระดับดี 4. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบSTAD เสริมด้วยสื่อประสม อยู่ในระดับมาก</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2664
ความต้องการจำเป็นในการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2
2025-12-09T14:20:52+07:00
ปุญญิศา ไร่ขาม
punyisaraikham@gmail.com
ยุทธศาสตร์ กงเพชร
punyisaraikham@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และศึกษาความต้องการจำเป็นในการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การ ศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 338 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) เท่ากับ 0.67 – 1.00 และความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI Modified)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1. สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และศึกษาความต้องการจำเป็นในการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การ ศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 สภาพปัจจุบัน พบว่า อยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ พบว่าอยู่ในระดับมาก</p> <p> 2. ความต้องการจำเป็นในการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การ ศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 โดยเรียงตามลำดับความสำคัญเป็น ดังนี้ 1) ด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา 2) ด้านหลักสูตรและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 3) ด้านการจัดกิจกรรม พัฒนาผู้เรียน 4) ด้านการพัฒนาบุคลากรของสถานศึกษา ตามลำดับ</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2665
ผลการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เสริมด้วยเกมวิทยาศาสตร์ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2025-12-09T14:27:21+07:00
อำนวย เพชรโก
amnuay09372@gmail.com
ละดา ดอนหงษา
amnuay09372@gmail.com
<p> การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เสริมด้วยเกมวิทยาศาสตร์ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนหนองม่วงชมพูทอง อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 20 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) เกมวิทยาศาสตร์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ มีค่า p ระหว่าง 0.55-0.75 มีค่า r ระหว่าง 0.20-0.35 มีค่าความเชื่อมั่น 0.80 4) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีค่า p ระหว่าง 0.50-0.75 มีค่า r ระหว่าง 0.20-0.35 มีค่าความเชื่อมั่น 0.79 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent) และการวิเคราะห์ค่าทีแบบกลุ่มเดียว (One sample t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังการเรียนสูงกว่าก่อนการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 3) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังการเรียนสูงกว่าก่อนการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2669
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าโดยไม่ได้วางแผนในการถ่ายทอดสดผ่าน TikTok ของผู้บริโภควัยรุ่นชาวจีนในมณฑลกวางซี ประเทศจีน
2025-12-09T14:44:30+07:00
คุณ จาง
anchaleechaisri@gmail.com
อัญชลี ชัยศรี
anchaleechaisri@gmail.com
สำเริง ไกยวงค์
anchaleechaisri@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าแบบไม่ได้วางแผนในการถ่ายทอดสดผ่าน TikTok ของผู้บริโภควัยรุ่นชาวจีน เป็นวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริโภควัยรุ่นชาวจีน จำนวน 385 คน โดยใช้ สูตรของ Cochran (1963) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และค่าความคลาดเคลื่อน 0.05 ซึ่งคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบบังเอิญจากผู้บริโภควัยรุ่นที่อาศัยในมณฑลกวางซี ซึ่งมีคุณสมบัติตรงเกณฑ์ คือมีอายุระหว่าง 15–25 ปี เคยรับชมการถ่ายทอดสดบน TikTok และเคยซื้อสินค้าจากไลฟ์สดอย่างน้อย 1 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าแบบฉับพลันของผู้บริโภควัยรุ่น ในภาพรวมอยู่ในระดับมากประกอบด้วย ปัจจัยด้านการท่องเว็บเพื่อความเพลิดเพลิน (= 3.97) ปัจจัยด้านคุณภาพของข้อมูล (= 3.96) ปัจจัยด้านคุณภาพของเนื้อหา (= 3.95) ปัจจัยด้านปฏิสัมพันธ์ของผู้ถ่ายทอดสด (= 3.93) ปัจจัยด้านการตอบสนองทางอารมณ์ (= 3.92) ปัจจัยด้านการปรากฏตัวทางสังคม (= 3.91) และปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมทางอารมณ์) (= 3.89) ตามลำดับ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยด้านความเพลิดเพลิน คุณภาพข้อมูล และบรรยากาศการมีส่วนร่วมในไลฟ์สด เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อแบบฉับพลันของผู้บริโภควัยรุ่นในแพลตฟอร์ม TikTok</p> <p> ผลวิจัยสะท้อนว่ากลไกทางอารมณ์และการมีส่วนร่วมในไลฟ์สดมีบทบาทสำคัญในการโน้มน้าวใจผู้ชม ขณะที่คุณภาพของเนื้อหาและข้อมูลช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการตัดสินใจ ในเชิงกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล ผู้ขายและแบรนด์สามารถยกระดับประสิทธิภาพของ Live Commerce ได้โดยออกแบบประสบการณ์ที่เน้นอารมณ์ การเล่าเรื่องที่ดึงดูด และการให้ข้อมูลที่ครบถ้วน งานวิจัยนี้ยังช่วยเสริมองค์ความรู้ด้านพฤติกรรมผู้บริโภคดิจิทัล โดยเน้นบทบาทสำคัญของปัจจัยด้านอารมณ์และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในบริบทเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2670
แนวทางการบริหารงานบุคคลยุค BANI World ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3
2025-12-09T14:50:43+07:00
จงลาวัลย์ ยะราไสย์
lynamic@gmail.com
วิเชียร รู้ยืนยง
lynamic@gmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานบุคคลยุค BANI World ของสถานศึกษา 2) เสนอแนวทางการบริหารงานบุคคลยุค BANI World ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหาร และครู จำนวน 293 คน โดยใช้วิธีกำหนดขนาดตัวอย่างโดยการคำนวณจากสูตร Taro Yamane ด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 และค่าความสอดคล้องของเนื้อหา (IOC) เท่ากับ 0.67 – 1.00 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ได้แก่ ค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพการบริหารงานบุคคลยุค BANI World ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการบริหารงานบุคคลยุค BANI World ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3 7 แนวทางคือ 1) แนวทางการวางแผนการพัฒนาเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ 2) แนวทางการสรรหาและการบรรจุแต่งตั้งเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ 3) แนวทางการจัดกิจกรรมการพัฒนาครูเพื่อเชื่อมโยงกลยุทธ์การพัฒนาสถานศึกษา 4) แนวทางการประเมินผลการปฏิบัติงานรอบด้านอย่างเป็นระบบ 5) แนวทางการพิจารณาผลตอบแทนและสวัสดิการที่โปร่งใสตรวจสอบได้ 6) แนวทางการดำเนินการทางวินัยที่ยืดหยุ่นเป็นธรรม 7) แนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลทะเบียนประวัติอย่างเป็นระบบ</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2671
การบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3
2025-12-09T14:55:51+07:00
จุฑารัตน์ อนันเอื้อ
mjutharat1@gmail.com
วิเชียร รู้ยืนยง
mjutharat1@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม 2) เสนอแนวทางการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3 เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารและครูจำนวน 293 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตร Taro Yamane ที่มีระดับความคาดเคลื่อน 0.05 และการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ ใช้แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ที่มีความเชื่อมั่นทั้งฉบับที่ 0.97 ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) มีค่าตั้งแต่ 0.67-1.00 และการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 คน สถิติที่ใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. แนวทางการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม 6 แนวทาง 1) แนวทางพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 3 กิจกรรม 2) แนวทางพัฒนาการจัดเรียนการสอนในสถานศึกษา 6 กิจกรรม 3) แนวทางพัฒนาการวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน 3 กิจกรรม 4) แนวทางพัฒนาการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา 4 กิจกรรม 5) แนวทางพัฒนาสื่อและนวัตกรรมการเรียนรู้ 3 กิจกรรม 6) แนวทางพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 6 กิจกรรม</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2673
การพัฒนาภาวะผู้นำทางการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดกลุ่มจังหวัดภูธานี
2025-12-09T15:01:53+07:00
วุฒิกฤต คชวงษ์
Wuttikit.g@gmail.com
อดุลย์ พิมพ์ทอง
Wuttikit.g@gmail.com
วานิช ประเสริฐพร
Wuttikit.g@gmail.com
<p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นภาวะผู้นำทางการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาและ 2) เสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดกลุ่มจังหวัดภูธานี กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 47 คน และ ครูจำนวน 285 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 332 คน ทำการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.66 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่น 0.96 สถิติที่ใช้ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยใช้วิธีเลือกเฉพาะเจาะจงสถานศึกษาที่มีแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด จำนวน 3 แห่ง โดยถอดบทการสัมภาษณ์ผู้บริหาร ใช้รูปแบบการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและการบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันของการพัฒนาภาวะผู้นำทางการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาในภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาภาวะผู้นำทางการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด ดัชนีความต้องการจำเป็นของการพัฒนาภาวะผู้นำทางการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าความต้องการจำเป็นมากที่สุดคือ ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รองลงมาคือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ส่วนด้านที่มีค่าความต้องการจำเป็นน้อยที่สุด คือ ด้านความคิดสร้างสรรค์ 2. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดกลุ่มจังหวัดภูธานี ประกอบด้วย 1) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 5 แนวทาง 2) ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน 5 แนวทาง 3) ด้านการเรียนรู้เป็นทีม 5 แนวทาง 4) ด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ 5 แนวทาง 5) ด้านความคิดสร้างสรรค์ 5 แนวทาง</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2674
กลยุทธ์การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น
2025-12-09T15:07:49+07:00
ปุริมปรัชญ์ พันพลูวงษ์
purimpat2462@gmail.com
วิเชียร รู้ยืนยง
purimpat2462@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) สร้างกลยุทธ์การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น โดยใช้วิธีผสมผสาน (Mixed Method Research) กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 355 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ใช้วิธีการสุ่มสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.973 สภาพปัจจุบัน 0.941 สภาพที่พึงประสงค์ 0.976 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนี PNI<sub>Modified</sub> และการวิเคราะห์ เชิงเนื้อหา (Content analysis)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1. สภาพปัจจุบัน การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่นพบว่า โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับ มาก ดัชนีความต้องการจำเป็น เรียงลำดับได้ดังนี้ 1) ส่งเสริมและพัฒนานักเรียน 2) รู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล 3) คัดกรองนักเรียน 4) ส่งต่อ 5)ป้องกันและแก้ไขปัญหา 2. กลยุทธ์การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์ 21 มาตรการ 1) ยกระดับการส่งเสริมและพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพ 2) เสริมสร้างความสัมพันธ์นักเรียนเป็นรายบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ 3) พัฒนากระบวนการคัดกรองนักเรียนให้มีคุณภาพ มี 4) พัฒนาการส่งต่อนักเรียนทั้งภายในและภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ 5)ส่งเสริมการดำเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียนอย่างมีประสิทธิผล</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2675
ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อการบริหารวิชาการยุค VUCA World ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
2025-12-09T15:13:19+07:00
อุรารัตน์ สุขบัว
aurarat3005@gmail.com
อดุลย์ พิมพ์ทอง
aurarat3005@gmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา1) ปัจจัยการบริหารของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน 2) การบริหารงานวิชาการยุค VUCA World ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน และ 3) ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อการบริหารวิชาการยุค VUCA World ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 232 คน ประกอบด้วยวิทยาลัย 21 แห่ง ผู้บริหาร จำนวน 21 คน และครูผู้สอน จำนวน 211 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง (ทาโร ยามาเน่, 1973) และดำเนินการสุ่มกลุ่มตัวอย่างผู้บริหารสถานศึกษาแบบเจาะจง และครูโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบ เท่ากับ 0.80 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ แบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1. การบริหารของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์การ รองลงมาคือ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ มีค่าเฉลี่ยเท่ากัน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการบริหารจัดการ 2. การบริหารวิชาการยุค VUCA World ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการบริหารหลักสูตร พัฒนาหลักสูตร และนำไปใช้ รองลงมาคือ ด้านการจัดกระบวนการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ยเท่ากัน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านสื่อและนวัตกรรมการเรียนการสอน 3. การบริหารวิชาการยุค VUCA World ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน ได้ร้อยละ 81.60 โดยตัวแปรการบริหาร งานเทคโนโลยีสารสนเทศ มีผลต่อตัวแปรการบริหารวิชาการยุค VUCA World มากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านการบริหารจัดการ ด้านการพัฒนาบุคลากร และด้านงบประมาณ ตามลำดับดังนั้น จึงนำมาเขียนเป็นสมการถดถอยพหุคูณในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน ได้ดังต่อไปนี้</p> <p> สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ คือ = .282 + .574<sub>X6</sub> + .187<sub>X1</sub> + .119<sub>X2 </sub>+ .076<sub>X4 </sub></p> <p> สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน คือ = .606<sub>X6</sub> + .201<sub>X1</sub> + .129<sub>X2 </sub>+ .103<sub>x4</sub></p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2676
การพัฒนาระบบนิเวศห้องเรียนดิจิทัลโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกออนไลน์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา
2025-12-09T15:19:08+07:00
กฤตย์ษุพัช สารนอก
Kritsupath_Sar@vu.ac.th
มาโนช อุทรส
Kritsupath_Sar@vu.ac.th
ประภาดา ผิวเกลี้ยง
Kritsupath_Sar@vu.ac.th
เอกชัย เวียงสมุทร
Kritsupath_Sar@vu.ac.th
ภัณฑิรา ปางเศรณี
Kritsupath_Sar@vu.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของระบบนิเวศห้องเรียนดิจิทัลโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกออนไลน์ 2) เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบนิเวศห้องเรียนดิจิทัลฯ และ 3) เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความเหมาะสมของระบบฯ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษาจำนวน 7 ท่าน ทำการประเมินระบบที่ได้ศึกษา พัฒนา และปรับแก้ในระยะเวลา 1 ปี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินประสิทธิภาพและความเหมาะสมของระบบ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ตอน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. จากการศึกษาและการสังเคราะห์องค์ประกอบของระบบแบ่งได้เป็น 2 ด้าน คือ 1) ด้านของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ ในส่วนของผู้เรียนและในส่วนของผู้สอน 2) ด้านของสิ่งที่ไม่มีชีวิต ประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นเครื่องมือ/ อุปกรณ์ที่ใช้สนับสนุนการเรียนการสอนและส่วนรูปแบบวิธีการจัดการเรียนการสอนเชิงรุกออนไลน์ 2. ส่วนของระบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนของผู้เรียน ส่วนของผู้สอน และส่วนของผู้ดูแลระบบ และ 3. ผลการประเมินประสิทธิภาพและความเหมาะสม พบว่า ผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด 3 ลำดับแรกอยู่ในขั้นตอนการเรียนการสอน ได้แก่ การวัดทักษะการใช้เครื่องมือและสื่อดิจิทัลของผู้เรียน ( = 4.92, SD = 0.28) การปฐมนิเทศผู้เรียน ( = 4.85, SD = 0.38) การลงทะเบียนเรียนและฝึกปฎิบัติการเรียนรู้ ( = 4.77, SD = 0.44) และเมื่อพิจารณาที่ผลผลิตแล้วพบว่า ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองมีระดับมากที่สุด ( = 4.56, SD = 0.47) ส่วนการประเมินผลป้อนกลับในภาพรวมและรายด้าน พบว่า ผลจากความคิดเห็นต่อการพัฒนาทักษะของผู้เรียนและผลจากความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนการสอนของผู้สอนในภาพรวมมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ( = 4.55, SD = 0.35)</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/2677
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อกองทุนบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนของลูกค้าเมืองกุ้ยหลิน มณฑลกวางซี ประเทศจีน
2025-12-09T15:30:15+07:00
เวินหลิน เจิ้ง
anchaleechaisri@gmail.com
อัญชลี ชัยศรี
anchaleechaisri@gmail.com
สำเริง ไกยวงค์
anchaleechaisri@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาพฤติกรรม ประสบการณ์ และแรงจูงใจของนักลงทุนรายย่อยที่ตัดสินใจซื้อกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนในประเทศจีน และ (2) วิเคราะห์บทบาทของการรับรู้ข้อมูล ความเข้าใจผลิตภัณฑ์และอิทธิพลจากสื่อหรือบุคคลใกล้ชิดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับนักลงทุนรายย่อยในเมืองกุ้ยหลิน มณฑลกวางซี โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจงจำนวน 15 ราย ซึ่งมีประสบการณ์ลงทุนกองทุนผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นักลงทุนรายย่อยมีพฤติกรรมการเลือกลงทุนที่เน้นความสะดวกและรวดเร็ว โดยพึ่งพาการจัดอันดับกองทุนบนแพลตฟอร์ม การรีวิวจากผู้ใช้งาน และระบบแนะนำอัตโนมัติ มากกว่าการวิเคราะห์เชิงลึกจากเอกสารทางการเงิน แรงจูงใจที่พบ ได้แก่ ความต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงิน การออมเพื่อเป้าหมายในอนาคต และการทดลองลงทุนตามกระแสของสังคมออนไลน์ นอกจากนี้ ผู้ให้ข้อมูลหลายรายยังสะท้อนว่าความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์มหรือคำแนะนำจากบุคคลใกล้ชิดมีอิทธิพลต่อประสบการณ์ลงทุนช่วงเริ่มต้น และจากการวิเคราะห์บทบาทของการรับรู้ข้อมูล ความเข้าใจผลิตภัณฑ์และอิทธิพลจากสื่อหรือบุคคลใกล้ชิดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน การรับรู้ข้อมูลของนักลงทุนขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่นำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่สั้น กระชับ และตัดสินใจได้ง่าย แม้ว่านักลงทุนหลายรายจะมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือค่าธรรมเนียม แต่ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถอธิบายนโยบายกองทุนได้อย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ อิทธิพลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน (KOLs) เพื่อน และคนใกล้ชิดมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนวัยหนุ่มสาวที่มักติดตามเนื้อหาในแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น WeChat, Xiaohongshu และ Bilibili</p> <p> ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่า พฤติกรรมผู้ลงทุนรายย่อยในยุคดิจิทัลได้รับอิทธิพลอย่างมากจากข้อมูลที่เข้าใจง่าย ระบบแนะนำอัตโนมัติ และความเห็นของบุคคลที่เชื่อถือได้ มากกว่าการวิเคราะห์เชิงลึกด้วยตนเอง องค์ความรู้ที่ได้สามารถนำไปใช้พัฒนากลยุทธ์การสื่อสารและเครื่องมือการตลาดของบริษัทหลักทรัพย์ ตลอดจนสนับสนุนการออกแบบแนวทางยกระดับความรู้ทางการเงินของนักลงทุนรุ่นใหม่ได้อย่างเหมาะสม</p>
2025-12-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025