Journal of Integration Social Sciences and Development https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD <p><strong>จุดมุ่งหมายและขอบเขต (</strong><strong>Aim and Scope)</strong></p> <p>Journal of Integration Social Sciences and Development <a href="https://portal.issn.org/resource/ISSN/2985-2137">ISSN : 2985-2137 (Online)</a> มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ในสาขาที่เกี่ยวข้องด้านสังคมศาสตร์ ได้แก่ สาขารัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการจัดการ สาขาศึกษาศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์ ปีละ 2 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong>1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์<br />2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร<br /></strong>Journal of Integration Social Sciences and Development มีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ดังนี้<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม </p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong>เปิดรับบทความวิจัย และบทความวิชาการ <strong>โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์</strong></p> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน</li> <li>บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 2 ท่าน โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ</li> <li>เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิครบทั้ง 2 ท่าน</li> <li>ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</li> </ol> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ</strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย และบทความวิชาการ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 2 ท่าน</li> <li>เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ</li> <li>ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์</li> <li>เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</li> </ol> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์:<br /></strong>ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์ ฯลฯ) e-mail: ajisd2435@gmail.com โทร. 093-3635858 (ผศ. ดร.ศศิรดา แพงไทย: บรรณาธิการ)</p> <p><strong>สำหรับผู้แต่ง<br /></strong>เทมเพลตบทความวิจัย <a href="https://docs.google.com/document/d/1Au1mWZgrVjOZfKWf6MsTtI85aLuF7jEm/edit">https://docs.google.com/document/d/1Au1mWZgrVjOZfKWf6MsTtI85aLuF7jEm/edit</a> <br />เทมเพลตบทความวิชาการ <a href="https://docs.google.com/document/d/1FPO2h7RxD-S8BJp4ECAKMtJgpG4fztvj/edit">https://docs.google.com/document/d/1FPO2h7RxD-S8BJp4ECAKMtJgpG4fztvj/edit</a></p> สำนักงาน รดาเทรนนิ่ง แอนด์ ดิเวลลอปเมนท์ th-TH Journal of Integration Social Sciences and Development การเตรียมตัวเพื่อรับมือกับโลกยุค BANI https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1382 <p>บทความนี้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับโลกยุค BANI ผลการศึกษาพบว่า ในยุค BANI ซึ่งโลกเต็มไปด้วยความเปราะบาง (Brittle) ความวิตกกังวล (Anxious) การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เป็นเส้นตรง (Nonlinear) และความซับซ้อนที่ยากจะเข้าใจ (Incomprehensible) การเตรียมพร้อมและพัฒนาทักษะที่จำเป็นกลายเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ชีวิตและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้เน้นย้ำทักษะสำคัญ เช่น ความยืดหยุ่น (Resilience), การจัดการความเครียดและควบคุมอารมณ์ (Emotional Regulation and Stress Management), การคิดเชิงวิพากษ์และกลยุทธ์ (Critical and Strategic Thinking), และ การคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovative Thinking) เพื่อเสริมศักยภาพให้บุคคลและองค์กรสามารถปรับตัวและเติบโตในโลกที่ไม่แน่นอน</p> สมใจ มณีวงษ์ Copyright (c) 2024 2024-12-20 2024-12-20 4 2 29 36 กรอบความคิดแบบเติบโตสู่ความสำเร็จในชีวิตและการทำงาน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1383 <p>บทความวิชาการนี้มุ่งนำเสนอแนวคิด Growth Mindset ซึ่งเป็นทฤษฎีสำคัญทางจิตวิทยาการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยอธิบายถึงมโนทัศน์ที่ว่าความสามารถของมนุษย์สามารถพัฒนาและเติบโตได้ด้วยความพยายาม การเรียนรู้ และความมุ่งมั่น งานวิจัยนี้วิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญของ Growth Mindset ประกอบด้วย การมองความล้มเหลวเป็นโอกาสเรียนรู้ ความเชื่อในศักยภาพที่พัฒนาได้ และการยอมรับคำวิจารณ์ ผลการศึกษาพบว่า บุคคลที่มี Growth Mindset จะมีความยืดหยุ่น กล้าเผชิญความท้าทาย และสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในบริบทการทำงานร่วมกับผู้อื่นและการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า Growth Mindset เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องการบุคลากรที่มีการเรียนรู้และปรับตัวอย่างไม่หยุดนิ่ง</p> จักรพงษ์ วรรณขันธ์ วิยะดา วรรณขันธ์ Copyright (c) 2024 2024-12-20 2024-12-20 4 2 37 42 ความต้องการจำเป็นการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครอุดรธานี https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1379 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครอุดรธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารและครูผู้สอนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครอุดรธานี จำวน 209 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเทียบหากลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน โดยผู้บริหารเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ครูผู้สอนใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามตอบสนองคู่ (Dual – Response Format) แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับสภาพปัจจุบัน เท่ากับ 0.905 สภาพที่พึงประสงค์ 0.986 .สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนี PNI modified ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบัน ของการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครอุดรธานีด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน รองลงมาคือการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลและมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือด้านการคัดกรองนักเรียน 2) สภาพที่พึงประสงค์ของการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครอุดรธานี ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือการคัดกรองนักเรียน รองลงมาคือการการป้องกันและช่วยเหลือนักเรียน และมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล 3) ความต้องการจำเป็นของการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครอุดรธานี เรียงลำดับความสำคัญดังนี้ การป้องกันและช่วยเหลือนักเรียนมีค่าดัชนีความต้องการจำเป็นมากที่สุด (PNI Modified = 0.42) รองลงมาคือ การคัดกรองนักเรียน (PNI Modified = 0.41) และด้านที่มีความต้องการจำเป็นน้อยที่สุดคือการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล (PNI Modified = 0.26)</p> วิยะดา วรรณขันธ์ Copyright (c) 2024 2024-12-20 2024-12-20 4 2 1 8 การส่งเสริมและพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1380 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการส่งเสริมและพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และ 2) เปรียบเทียบการส่งเสริมและพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 จำนวน 291 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ของเชฟเฟ่ (Scheffe') ผลการวิจัยพบว่า 1) การส่งเสริมและพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านผู้เรียนมีการเรียนรู้อย่างมีทักษะกระบวนการ 2) ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนที่มีประสบการณ์ในการทำงานที่ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการส่งเสริมและพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนจำแนกตามเพศ และตำแหน่ง โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</p> ศิริพร ชินนะ Copyright (c) 2024 2024-12-20 2024-12-20 4 2 9 18 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1381 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างที่ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 83 คน และครูผู้สอนจำนวน 259 คน รวมทั้งสิ้น 342 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยเปิดตารางของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie Morgan, 1970) โดยสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนของขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบตอบสนองคู่ (Dual response format) ชนิด 5 ระดับ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยการหาค่า IOC ได้ค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67–1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค โดยการหาค่าความเชื่อมั่นสภาพปัจจุบัน เท่ากับ 0.967 และค่าความเชื่อมั่นสภาพที่พึงประสงค์ เท่ากับ 0.973 แบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้างและแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้เทคนิค Modified Priority Needs Index (PNI modified) ในการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพปัจจุบันสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น โดยรวมและรายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็น โดยรวมมีค่าดัชนีความต้องการจำเป็น PNI modified = 0.080 2) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ขอนแก่น มี 5 องค์ประกอบ 12 แนวทาง ได้แก่ ด้านการมีวิสัยทัศน์ 3 แนวทาง ด้านการพัฒนาตนเอง 2 แนวทาง ด้านการสื่อสารและการจูงใจ 2 แนวทาง ด้านการคิดเชิงกลยุทธ์ 3 แนวทาง และด้านการทำงานเป็นทีม 2 แนวทาง และมีผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ไพฑูรย์ แวววงศ์ Copyright (c) 2024 2024-12-20 2024-12-20 4 2 19 28