Journal of Integration Social Sciences and Development https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD <p><strong>จุดมุ่งหมายและขอบเขต (</strong><strong>Aim and Scope)</strong></p> <p>Journal of Integration Social Sciences and Development <a href="https://portal.issn.org/resource/ISSN/2985-2137">ISSN : 2985-2137 (Online)</a> มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ในสาขาที่เกี่ยวข้องด้านสังคมศาสตร์ ได้แก่ สาขารัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการจัดการ สาขาศึกษาศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์ ปีละ 2 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร<br /></strong>Journal of Integration Social Sciences and Development มีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ดังนี้<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม </p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> บทความวิจัย และบทความวิชาการ มีอัตราค่าตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย และบทความวิชาการ (ภาษาไทย) บทความละ 4,000 บาท<br /> 2) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาอังกฤษ) บทความละ 6,000 บาท<br /> โดยชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ภายหลังจากที่กองบรรณาธิการพิจารณาความสมบูรณ์ และความถูกต้องตามรูปแบบแล้ว และส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินพิจารณาบทความ <strong>(เก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์เมื่อเข้าสู่กระบวนการ Review)</strong> อนึ่ง การพิจารณารับบทความเพื่อลงตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของบรรณาธิการถือเป็นอันสิ้นสุด </p> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน</li> <li>บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ</li> <li>เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิ</li> <li>ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</li> </ol> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ</strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย และบทความวิชาการ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) </li> <li>เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ</li> <li>ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์</li> <li>เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</li> </ol> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์:<br /></strong>ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์ ฯลฯ) e-mail: ajisd2435@gmail.com โทร. 080-7743578 ID Line : ajisd2435 (ดร.สมใจ มณีวงษ์: บรรณาธิการ)</p> <p><strong>สำหรับผู้แต่ง<br /></strong>เทมเพลตบทความวิจัย <a href="https://docs.google.com/document/d/1Au1mWZgrVjOZfKWf6MsTtI85aLuF7jEm/edit">https://docs.google.com/document/d/1Au1mWZgrVjOZfKWf6MsTtI85aLuF7jEm/edit</a> <br />เทมเพลตบทความวิชาการ <a href="https://docs.google.com/document/d/1FPO2h7RxD-S8BJp4ECAKMtJgpG4fztvj/edit">https://docs.google.com/document/d/1FPO2h7RxD-S8BJp4ECAKMtJgpG4fztvj/edit</a></p> th-TH Wed, 23 Apr 2025 07:42:15 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 หนึ่งทศวรรษการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดร้อยเอ็ด https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1998 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ ทบทวน ติดตาม ตลอดจนศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคด้านการดำเนินการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดร้อยเอ็ด ในระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา (พ.ศ. 2559 - 2568) ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่2) พ.ศ. 2551 นั้น</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;จากการศึกษา พบว่า การกระจายอำนาจด้านสาธารณสุขของประเทศไทย มีองค์ประกอบสองประการ เพื่อให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีศักยภาพในด้านการบริหาร ประการแรก คือ ความเชี่ยวชาญ ด้านเทคนิคและความเป็นวิชาชีพเฉพาะ ซึ่งถือว่าเป็นบทบาทสำคัญสำหรับผู้บริหารท้องถิ่น ประการที่สอง ปัญหาจากการรวมอำนาจไว้ที่รัฐบาลส่วนกลาง ทำให้กฎหมาย หรือระเบียบบางประเด็นไม่สามารถนำมาปฏิบัติในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีสภาพปัญหาและอุปสรรค ได้แก่ 1) ปัญหาด้านการบริหารงานบุคคลและกำลังคน 2) ปัญหาด้านการเงินการคลังและงบประมาณ และ 3) ปัญหาด้านการให้บริการและ รับบริการด้านสาธารณสุข</p> อำพล บุญพินิช, ณัฐวุฒิ ยุบลพันธุ์ Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1998 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1743 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา 4) ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครู จำนวน 327 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครซี่มอร์แกน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น ด้านภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา เท่ากับ 0.980 ด้านประสิทธิผลของสถานศึกษา เท่ากับ 0.987 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบมีขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2. ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู มีความสัมพันธ์กันในทางบวกระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู ได้แก่ ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดี ด้านการเผยแพร่วิสัยทัศน์ และด้านการสร้างวิสัยทัศน์ ได้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .691 (R=.691) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายหรืออำนาจพยากรณ์ ร้อยละ 47 (AdjR2=.473)</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ คือ</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; Y&nbsp; &nbsp;= 1.770 + .240<sub> X4 </sub>+ .188<sub>X3</sub> + .175<sub> X1</sub></p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน คือ</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;Z&nbsp; = .305Z<sub>X4 </sub>+ .237Z<sub>X3 </sub>+ .208Z<sub>X1</sub></p> ทวิวัฒน์ น้อยบุดดี , ศศิรดา แพงไทย Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1743 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารจัดการและการแก้ปัญหาเพื่อลดการละเมิดสิทธิมนุษยชนสำหรับเยาวชนไทยในระดับอุดมศึกษา https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1746 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) ทำความเข้าใจเรื่องการลดการละเมิดสิทธิมนุษยชน 2) ประเมินความต้องการจำเป็นเกี่ยวกับการลดการละเมิดสิทธิมนุษยชน และ 3) ค้นหาแนวทางการบริหารจัดการและการแก้ปัญหาเพื่อลดการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง คือ (1) นักศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 50 คน ได้มาโดยการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (2) นักศึกษาปริญญาตรี 545 คน เป็นการสุ่มแบบ 2 ขั้นตอน ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นแบบมีสัดส่วน (Proportion Stratified Sampling) การสุ่มแต่ละขั้นตอนจะใช้การสุ่มอย่างง่าย และ (3) อาจารย์ นักวิชาการอิสระที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน 8 คน ได้มาโดยการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือ คือ แบบอภิปรายกลุ่ม แบบประเมินความต้องการจำเป็น 8 ประเด็น ประเด็นละ 5 ข้อ รวม 40 ข้อ และแบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง จำนวน 6 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยการประเมินความต้องการจำเป็น และเชิงคุณภาพ ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis: CA) และการวิเคราะห์แก่นสาระ (Thematic analysis: TA) ผลการวิจัยพบว่า 1) การลดการละเมิดสิทธิมนุษยชน 8 องค์ประกอบ คือ มาตรฐานความงาม ความแพร่หลายทางภาษา ความเท่าเทียมทางศาสนา ความเป็นกลางสำหรับเยาวชน ความเท่าเทียมทางเพศ ปัญหาด้านสุขภาพ สิทธิในการแต่งกาย และมลภาวะทางเสียง 2) องค์ประกอบที่ 7 สิทธิในการแต่งกาย มีความต้องการจำเป็นมากที่สุด (PNI<sub>modified</sub> = 0.099) รองลงมาคือ องค์ประกอบที่ 2 ความแพร่หลายทางภาษา (PNI<sub>modified</sub> = 0.0089) และ 3) แนวทางการบริหารจัดการและการแก้ปัญหา เน้นถึงเสรีภาพการแสดงออกที่สอดคล้องกับความเหมาะสมในสังคม ยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและตัวตนของแต่ละบุคคล</p> นันทนา ชวศิริกุลฑล, ปัทมา รูปสุวรรณกุล, อัจศรา ประเสริฐสิน, อนันต์ ธรรมชาลัย, ฐิติรัตน์ รอดทอง Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1746 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กร แห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1747 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 4) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 240 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.998 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก 3. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษามีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ด้านการสร้างบรรยากาศเชิงนวัตกรรม ด้านการสร้างความร่วมมือและการทำงานเป็นทีม ด้านการสร้างแรงบันดาลใจและการมีส่วนร่วม และด้านการติดตามและประเมินผลนวัตกรรม ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยร่วมกันพยากรณ์ความแปรปรวนของความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา ได้ร้อยละ 71.80</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp; สามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;สามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบได้ ดังนี้</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; Ŷ = 1.23 + 0.162<sub>X1</sub> + 0.716<sub>X2</sub> + .253<sub>X4</sub> + 0.515<sub>X6</sub></p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐานได้ ดังนี้</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;Ẑ = 0.195<sub>Z1 </sub>+ 0.806<sub>Z2</sub> + 0.263<sub>Z4</sub> + 0.561<sub>Z5</sub></p> จิรา ด้นหวัง, กุลจิรา รักษนคร Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1747 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยมโดยใช้สถานการณ์จำลองร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1748 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม โดยใช้สถานการณ์จำลอง ร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 22 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลอง ร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน จำนวน 8 แผน 2) แบบทดสอบวัดความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม&nbsp; แบบแผนการวิจัย คือ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ซึ่งประกอบด้วย 2 วงจรปฏิบัติการ ได้แก่ วงจรปฏิบัติการที่ 1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 - 4 วงจรปฏิบัติการที่ 2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 - 8 และแบบทดสอบวัดความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม แบบอัตนัยวงจรปฏิบัติการละ 5 ข้อ โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า วงจรปฏิบัติการที่ 1 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 68.94 ในวงจรปฏิบัติการที่ 2 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 83.38 &nbsp;ซึ่งแสดงถึงนักเรียนมีการพัฒนาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยมสูงขึ้น เมื่อได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลอง ร่วมกับเกมมิฟิเคชันในแต่ละวงจรการปฏิบัติการ และพบว่าคะแนนเฉลี่ยความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพดีมากในวงจรการปฏิบัติการที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .50</p> ปิยธิดา ผลานิสงค์, วรรณธิดา ยลวิลาศ Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1748 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปยุโรปของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1749 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปยุโรปของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ 3) เพื่อพัฒนาความสามารถทางภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 จำนวน 41 คน โรงเรียนกันทรวิชัย อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โดยกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ จำนวน 14 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 3) แบบวัดความสามารถทางภูมิศาสตร์ แบบอัตนัย จำนวน 1 ข้อ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 10 ข้อ เป็นแบบมาตรประมาณ 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติทดสอบ t-test แบบ Dependent</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลวิจัย พบกว่า 1) การพัฒนาและวิเคราะห์ประสิทธิภาพกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปยุโรป สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการพัฒนามีค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.70 – 4.88 และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.50/83.73 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปยุโรป&nbsp; มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .50 3) ความสามารถทางภูมิศาสตร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ หลังเรียนมีการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .50 และ 4) มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> จิรวัฒน์ เข็มทอง, ปิยลักษณ์ โพธิวรรณ์ Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1749 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1750 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลกับประสิทธิผลของสถานศึกษา 4) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารและครูผู้สอน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครซี่มอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 224 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น ด้านภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา เท่ากับ 0.985 ด้านประสิทธิผลของสถานศึกษา เท่ากับ 0.807 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบมีขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2. ประสิทธิผลในการบริหารจัดการสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 ทั้งโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 มีความสัมพันธ์กันในทางบวกอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 ได้แก่ ด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านการสื่อสารดิจิทัล และด้านการรู้ดิจิทัล ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยร่วมกันพยากรณ์ความแปรปรวนของประสิทธิผลของสถานศึกษาได้ร้อยละ 53.60 เป็นไปตามสมมติฐาน สามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ คือ</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; Y&nbsp; = 1.770 + .240<sub> X4 </sub>+ .188<sub>X3</sub> + .175<sub> X1</sub></p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน คือ</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;Z&nbsp; = .323<sub>X1</sub> + .259<sub>X4</sub> + .202<sub>X3</sub></p> ลลิดา ไสยสัตย์, ศศิรดา แพงไทย Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1750 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารแมวสำเร็จรูปผ่านช่องทางออนไลน์ ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1751 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบการตัดสินใจซื้ออาหารแมวสำเร็จรูปผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ และ 2) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารแมวสำเร็จรูปผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริโภคที่ซื้ออาหารแมวสำเร็จรูปผ่านช่องทางออนไลน์ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบโควตาและตามความสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.849 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) อายุ อาชีพ และรายได้ของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน มีการตัดสินใจซื้ออาหารแมวสำเร็จรูปผ่านช่องทางออนไลน์แตกต่างกัน โดยกลุ่มที่มีรายได้สูงมักให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์มากกว่าราคา ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่ามีแนวโน้มพิจารณาด้านราคามากกว่า แต่ปัจจัยด้านเพศที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจซื้ออาหารแมวสำเร็จรูปผ่านช่องทางออนไลน์ไม่แตกต่างกัน 2) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารแมวสำเร็จรูปผ่านช่องทางออนไลน์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงสุด ได้แก่ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ รองลงมาคือ ปัจจัยด้านราคา ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด ตามลำดับ ข้อเสนอแนะจากการวิจัยระบุว่าผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพสูง ควบคู่ไปกับการกำหนดราคาที่เหมาะสม และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค นอกจากนี้ ควรมีการใช้กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดที่ตรงกลุ่มเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน</p> พีระยุทธ คุ้มศักดิ์, พักตร์ประภา โพธิราชา, วราภรณ์ ประทีปไพศาล Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1751 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 ชุมชนเเห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1752 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การศึกษาบทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการเป็นชุมชนเเห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 2) ศึกษาสมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และ 3) ศึกษาการเป็นชุมชนเเห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 จำนวน 285 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.94 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และสร้างสมการถดถอยเพื่อพยากรณ์ตัวแปรเกณฑ์ โดยวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบมีขั้นตอน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1. การเป็นชุมชนเเห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. สมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก &nbsp;โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3. การเป็นชุมชนเเห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ได้แก่ ด้านการทำงานเป็นทีม (X<sub>2</sub>) ด้านภาวะผู้นำ (X<sub>3</sub>) ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วม (X<sub>1</sub>) ด้านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (X<sub>4</sub>) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.996 ซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายหรืออำนาจพยากรณ์ ร้อยละ 99.30 (R<sup>2</sup>= .993) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยในรูปของคะแนนมาตรฐาน (β) เท่ากับ 0.240, 0.293, 0.353 และ 0.111 ตามลำดับ.</p> วรรณภา นันทะแสง Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1752 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้ระบบบัญชีออนไลน์ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดนนทบุรี https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1754 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;This research aims to: 1) study the characteristics of small and medium-sized enterprises (SMEs) in Nonthaburi Province; 2) examine the effectiveness of online accounting system usage; and 3) investigate the factors affecting the effectiveness of online accounting system usage. This is a survey research using quantitative data collected through questionnaires from representatives of 385 SMEs in Nonthaburi Province. The statistical methods used include mean, standard deviation, and multiple regression analysis.</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;The research findings revealed that: 1) the overall characteristics of small and medium-sized enterprises (SMEs) in Nonthaburi Province were rated at a high level, the highest-rated factor was organizational leadership support, followed by personnel characteristics, technology, and organizational structure; 2) the overall effectiveness of online accounting system usage was also rated at a high level, the highest-rated aspect was the accuracy and timeliness of accounting processes, followed by the completeness and punctuality of financial reporting, the ability to audit and monitor results, and the efficiency of internal control; and 3) the factors influencing the effectiveness of online accounting system usage, ranked from highest to lowest impact, were organizational leadership support, personnel characteristics, technology, and organizational structure.</p> วิชุตา นาคเถื่อน, จิตรวิภา เปรมจันทร์, สุวิมล พงษ์สีดา, พีระสิทธิ์ คุณเลิศอาภรณ์ Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1754 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถในการอ่านเชิงวิเคราะห์โดยวิธีการสอนแบบ SQ5R วิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1772 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อสร้างและพัฒนาการใช้วิธีการสอนแบบ SQ5R ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเชิงวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบ SQ5R กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนวัดดอนเมือง (ทหารอากาศอุทิศ) สำนักงานเขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 35 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านเชิงวิเคราะห์จำนวน 5 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 10 ชั่วโมง โดยวิธีสอนแบบ SQ5R 2) แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านเชิงวิเคราะห์ เป็น แบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย () ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสถิติที่ใช้ในทดสอบสมมติฐานคือทดสอบค่าที (t–test dependent)</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) การสร้างและพัฒนาการใช้วิธีการสอนแบบ SQ5R ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้การอ่านเชิงวิเคราะห์จำนวน 5 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 10 ชั่วโมง ซึ่งความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้นั้นจะต้องมีความสอดคล้องของสาระสำคัญ จุดประสงค์ การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการจัดการเรียนรู้ และการวัดผลและประเมินผล 2) การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเชิงวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการใช้วิธีการสอนแบบ SQ5R พบว่าคะแนนก่อนใช้วิธีการสอนแบบ SQ5R มีค่าเฉลี่ย () เท่ากับ 15.03 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 2.95 และหลังใช้วิธีการสอนแบบ SQ5R มีค่าเฉลี่ย () เท่ากับ 22.40 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 2.84 สรุปได้ว่า ความสามารถในการอ่านเชิงวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียน โดยใช้วิธีการสอนแบบ SQ5R สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ธนวัฒน์ คงเกต, อัจศรา ประเสริฐสิน Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1772 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 ผลกระทบมูลเหตุจูงใจการตกแต่งงบการเงิน ที่มีต่อรูปแบบการปรับปรุงบัญชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1782 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ และ 2) เพื่อศึกษาผลกระทบมูลเหตุจูงใจการตกแต่งงบการเงิน ที่มีต่อรูปแบบการปรับปรุงบัญชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารฝ่ายบัญชีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 167 คน สุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามผ่านระบบออนไลน์และด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณ และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) มูลเหตุจูงใจในการตกแต่งงบการเงิน ด้านแรงกดดันจากตลาดและนักลงทุน และด้านการปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินของเจ้าหนี้มีความสัมพันธ์และผลกระทบเชิงบวกกับรูปแบบการปรับปรุงบัญชี 2) มูลเหตุจูงใจในการตกแต่งงบการเงิน ด้านแรงกดดันจากผู้ถือหุ้น การรักษาสถานะทางการเงิน และการบริหารภาษี ไม่มีความสัมพันธ์และผลกระทบเชิงบวกกับรูปแบบการปรับปรุงบัญชี ดังนั้นการวิจัยนี้สามารถนำไปสู่การปรับปรุงกลยุทธ์ในการกำกับดูแลการเงินของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือหรือมาตรการที่ช่วยเสริมสร้างความโปร่งใสในการจัดทำงบการเงิน เพื่อลดความเสี่ยงจากการตกแต่งข้อมูลและเพิ่มความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและผู้ถือหุ้น</p> วรรณภา อิมะไชย์ Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1782 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 แนวทางเชิงกลยุทธ์ในการยกระดับผลการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1783 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการพัฒนาเพื่อเพิ่มผลการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนของเศรษฐกิจชุมชนในระยะยาว โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ได้แก่ 1) ศึกษาปัจจัยด้านคุณลักษณะของวิสาหกิจชุมชนที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงาน 2) ศึกษาปัจจัยด้านการบริหารจัดการของวิสาหกิจชุมชนที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงาน และ 3) วิเคราะห์และนำเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์ในการยกระดับผลการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือวิสาหกิจชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน จำนวน 395 แห่ง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) ผู้ให้ข้อมูลคือผู้แทนคณะกรรมการวิสาหกิจชุมชน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอ้างอิง ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อต่างกันตามจังหวัด อายุการก่อตั้ง รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และจำนวนสมาชิก 2) ปัจจัยด้านการบริหารจัดการ ได้แก่ โครงสร้างองค์กร การวางแผน การตลาด การบริหารสมาชิก และการผลิตสินค้า/บริการ ส่งผลต่อผลการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05 และ 3) แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่เสนอประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่ การพัฒนาผู้นำ การใช้ความคิดสร้างสรรค์พัฒนาคุณภาพสินค้า/บริการ การส่งเสริมรายได้สมาชิก และการควบคุมการผลิตให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับชุมชน ผลการวิจัยชี้ว่าปัจจัยด้านการบริหารจัดการมีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชน และแนวทางที่เสนอนั้นสามารถประยุกต์ใช้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาองค์กรในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> พีระยุทธ คุ้มศักดิ์, เกียรติชัย วีระญาณนนท์, อนันต์ ธรรมชาลัย Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1783 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างทักษะทางสังคมของเด็กปฐมวัยโรงเรียนวัดราษฎร์นิยมธรรม (พิบูลสงคราม) https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1845 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน และ 2. เปรียบเทียบพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ประชากรได้แก่เด็กปฐมวัยชาย-หญิงอายุระหว่าง 4 - 5 ปีศึกษาในชั้นอนุบาลปีที่2 ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา2567 โรงเรียนวัดราษฎร์นิยมธรรม (พิบูลสงคราม) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต1 จำนวน 30 คน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนและหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมประสบการณ์การเรียนรู้ โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน จำนวน 12 แผน และแบบสังเกตพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยทั้งหมด3 ด้านคือ ด้านการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ด้านมารยาทในสังคม และ ด้านความเอื้อเฟื้อเผื่อ ระยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ3 วันคือวันอังคารวันพุธและวันพฤหัสบดี วันละ 45 นาทีในช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลค่าเฉลี่ย (μ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) และสถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานคือค่าสถิติไค–สแควร์และค่าความแตกต่าง</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า 1. พฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน มีความสัมพันธ์กันทั้งโดยภาพรวมและจําแนกรายด้านอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2. พฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างทักษะทาง สังคมของเด็กปฐมวัยสูงกว่าก่อนการทดลองทั้งโดยภาพรวมและจําแนกรายด้าน</p> ปริณดา ศรีมุณี, ธฤษณุ โภคบุญญานนท์, ไพลิน บรรพโต Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1845 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 ผลของการจัดกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้านที่มีต่อทักษะกลไกการเคลื่อนไหวร่างกายสำหรับเด็กปฐมวัย https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1846 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้านที่มีต่อทักษะกลไกการเคลื่อนไหวร่างกายสำหรับเด็ก เป็นการวิจัยแบบแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กชายและเด็กหญิงที่มีอายุระหว่าง 4 - 5 ปี ที่ศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนวัดราษฎร์บำรุง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 25 คน ได้มาโดยการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือ คือ แผนการจัดกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้าน แบบประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกายสำหรับเด็กปฐมวัย แบบบันทึกการสังเกตพัฒนาการการเคลื่อนไหวร่างกายสำหรับเด็กปฐมวัย การวิเคราะห์ข้อมูลและประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหนร่างกายสำหรับเด็กปฐมวัย โดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะกลไกลการเคลื่อนไหวร่างกายสำหรับเด็กปฐมวัย 3 ด้าน คือ ด้านความคล่องตัว ด้านการทรงตัว และด้านประสานสัมพันธ์ หลังการจัดกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้านมีคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้าน เมื่อนำคะแนนเฉลี่ยทักษะกลไกลการเคลื่อนไหวร่างกายสำหรับเด็กปฐมวัยโดยภาพรวม ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้านมาเปรียบเทียบกัน พบว่า คะแนนเฉลี่ยทักษะกลไกลการเคลื่อนไหวร่างกายสำหรับเด็กปฐมวัย หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง และจากการสังเกตค่ามีค่าเฉลี่ย พบว่า มีค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนการจัดกิจกรรมมีค่าเท่ากับ 9.24 มีการกระจายตัวของคะแนนการทดสอบก่อนเรียนอยู่มาก&nbsp; และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังการจัดกิจกรรม มีค่าเท่ากับ 0.07 มีค่าลดลง คะแนนหลังการจัดกิจกรรมที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยทักษะกลไกลการเคลื่อนไหวร่างกายสำหรับเด็กปฐมวัยรายด้านก่อนและหลังได้รับจัดกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้าน</p> ฐิติรัตน์ รอดทอง, ปริณดา ศรีมุณี, ญาดา บุญคง, สุนทร พันธัง, วรัญญา รุมแสง, ปราณี ธัญญาดี Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1846 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 คุณลักษณะของผู้ประกอบการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภายหลังจากสภาวะการแพร่ระบาดโรคโควิด -19 ในจังหวัดปทุมธานี https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1847 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภายหลังจากสภาวะการแพร่ระบาดโรคโควิด -19 ในจังหวัดปทุมธานี 2) เพื่อศึกษาปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภายหลังจากสภาวะการแพร่ระบาดโรคโควิด -19 ในจังหวัดปทุมธานี 3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภายหลังจากสภาวะการแพร่ระบาดโรคโควิด -19 ในจังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จังหวัดนนทบุรี จำนนวน 400 คน ผลการวิจัย 1) คุณลักษณะของผู้ประกอบการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภายหลังจากสภาวะการแพร่ระบาดโรคโควิด -19 ในจังหวัดปทุมธานี พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ระดับความคิดเห็นด้านความเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด 2) ปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภายหลังจากสภาวะการแพร่ระบาดโรคโควิด -19 ในจังหวัดปทุมธานี พบว่า ด้านกระบวนการภายใน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด และ 3) การเปรียบเทียบความแตกต่างของคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภายหลังจากสภาวะการแพร่ระบาดโรคโควิด -19 ในจังหวัดปทุมธานี พบว่า คุณลักษณะของผู้ประกอบการ ด้านความเป็นตัวของตัวเองมีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจ ด้านลูกค้า และคุณลักษณะของผู้ประกอบการ ด้านความมีนวัตกรรมผลต่อความสำเร็จของธุรกิจ ด้านการเรียนรู้และการเติบโตของธุรกิจมี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และคุณลักษณะของผู้ประกอบการ ด้านความกล้าเสี่ยง ด้านการบริหารจัดการ ด้านความสม่ำเสมอและใฝ่ใจในการเรียนรู้ และด้านความใฝ่ใจในความสำเร็จไม่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจ อย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> กุสุมา ศิลป์วิเศษสรรค์, ประทีป หมื่นหาญ, ธีระยุทธ์ ขุนศรีแก้ว, สยาม เกิดจรัส, มยุรี ศิริยม Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1847 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาผลกระทบของบทวิจารณ์ออนไลน์ที่มีต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภค ในเขตกรุงเทฑและปริมณฑล https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1848 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการรับชมการวิจารณ์สินค้าของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพและปริมณฑล 2) ศึกษาระดับความสำคัญของปัจจัยด้านบทวิจารณ์ออนไลน์(การรีวิวสินค้าออนไลน์)ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 3) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านบทวิจารณ์ออนไลน์(การรีวิวสินค้าออนไลน์)ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพและปริมณฑล เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ทั้งเพศชายและหญิง จำนวน 200 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ โปรแกรม G* Power โดยวิธีการสุ่มแบบตามความสะดวก และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้วิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression)</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษา พฤติกรรมการรับชมการรีวิวสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพและปริมณฑล พบว่า สื่อที่ใช้ในการรับชมการวิจารณ์สินค้า คือ รับชมผ่านโทรศัพท์มือถือ(Smartphone) ช่องทาง Tiktok โดยรับชมในช่วงเวลา 18.01 - 24.00 น. บุคคลมีอิทธิพลต่อการรับชมคือ ตัวเอง และรับชมเพื่อเป็นช่องทางในการพิจารณาเลือกสินค้าออนไลน์ ปัจจัยด้านบทวิจารณ์ออนไลน์(การรีวิวสินค้าออนไลน์)ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก โดยผู้บริโภคให้ความสำคัญในด้านข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สูงที่สุด รองลงมาคือ ด้านผู้เขียนบทวิจารณ์ออนไลน์ และด้านผลลัพธ์ของการบทวิจารณ์ออนไลน์ ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณระหว่างปัจจัยด้านบทวิจารณ์ออนไลน์ (การรีวิวสินค้าออนไลน์) ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพและปริมณฑล คือ ปัจจัยด้านจำนวนของการบทวิจารณ์ออนไลน์ ด้านผู้เขียนบทวิจารณ์ออนไลน์ และด้านผลลัพธ์ของการบทวิจารณ์ออนไลน์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งตัวแปรทั้ง 3 ด้านสามารถร่วมกันอธิบายความผันแปรของการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ได้ร้อยละ 76.40</p> รัชนิวรรณ อินละดม, บุญยวีร์ เกงขุนทด, วันวิษา โฉมโต, ธนภัทร์ ธชพันธ์ Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1848 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า OTOP บนแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้บริโภคจังหวัดสกลนคร https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1869 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในจังหวัดสกลนครต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า OTOP บนแพลตฟอร์มออนไลน์ 2) ศึกษาระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า OTOP บนแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้บริโภคจังหวัดสกลนคร 3) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า OTOP บนแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้บริโภคจังหวัดสกลนคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ประชากร คือ ผู้ที่เคยซื้อสินค้า OTOP บนแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้บริโภคในจังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคในจังหวัดสกลนครต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า OTOP บนแพลตฟอร์มออนไลน์นั้น ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เลือกซื้อสินค้าประเภทอาหาร วัตถุประสงค์ในการซื้อสินค้า คือ ซื้อเพื่อตัวเอง ส่วนใหญ่จะซื้อเดือนละครั้ง บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการซื้อสินค้า คือ ตนเอง ค่าใช้จ่ายที่ซื้อในแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย 201 – 500 บาท วิธีในการชำระเงินค่าสินค้าชำระผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคาร (mobile banking) ช่องทางในการติดต่อผู้ขายสินค้าส่วนใหญ่ติดต่อทางไลน์&nbsp; ในส่วนของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์มีระดับความสำคัญมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.24 (S.D. = 0.436) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านผลิตภัณฑ์ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมา คือ ด้านการรักษาความเป็นส่วนตัว ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านราคา ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านการให้บริการส่วนบุคคล ตามลำดับ การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า OTOP บนแพลตฟอร์มบนออนไลน์ของผู้บริโภคจังหวัดสกลนคร พบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ทุกด้านส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มบนออนไลน์ของผู้บริโภคจังหวัดสกลนครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อธิษฐาน ทองเชื้อ, จตุรงค์ จิตติยพล, ขนิษฐา ทองเชื้อ Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1869 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 การรับรู้คุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าในการใช้บริการของผู้โดยสาร สายการบินต้นทุนต่ำในประเทศไทย https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1876 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้คุณภาพการให้บริการที่ส่งผลความภักดีของลูกค้าในการใช้บริการของผู้โดยสารสายการบินต้นทุนต่ำในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือผู้ใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำในประเทศไทย จำนวน 384 คน ได้จากตารางเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้คือ mean, t-Test, Multiple Regression ผลการศึกษาพบว่า 1) การรับรู้คุณภาพการให้บริการของผู้โดยสารสายการบินต้นทุนต่ำอยู่ในระดับสูง 2) ความภักดีของลูกค้าในการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ พบว่า ความภักดีเชิงทัศนคติ (Attitudinal loyalty) ของลูกค้าอยู่ในระดับสูงมาก แต่ความภักดีเชิงพฤติกรรม (Behavioral loyalty) ของลูกค้าอยู่ในระดับสูง 3) ชาวต่างชาติและชาวไทยรับรู้คุณภาพการให้บริการของสายการบินทั้งในภาพรวมและในรายด้านไม่แตกต่างกัน 4) ชาวต่างชาติ และชาวไทยมีความภักดีในการใช้บริการทั้งในภาพรวมและในรายด้านไม่แตกต่างกัน 5) มีปัจจัยการรับรู้คุณภาพการให้บริการของสายการบินเพียง 1 ด้าน คือ ด้านความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าในการใช้บริการของสายการบินต้นทุนต่ำในประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 19.90 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยที่ .126 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> คณิศร์วิภา วรรธนะสาร, ชวัลณัฐ หงส์วาณิชวงศ์, Loganathan Hariramakrishnan, Lily Grace Orcino Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1876 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1926 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันสภาพที่พึงประสงค์ 2) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารและครูผู้สอนของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 จำนวน 287 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน โดยผู้บริหารเลือกแบบเจาะจง ครูผู้สอนใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ Stratified Random Sampling เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามตอบสนองคู่ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.67 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับสภาพปัจจุบัน เท่ากับ 0.968 สภาพที่พึงประสงค์ 0.933 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนี PNI<sub>modified&nbsp; </sub>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบัน ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2. สภาพที่พึงประสงค์ ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก &nbsp;3. ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 โดยรวมและรายด้าน พบว่า พิสัยของดัชนีความต้องการจำเป็น มีค่าอยู่ระหว่าง 0.228 - 0.360 โดยด้านที่มีความต้องการจำเป็นเร่งด่วนมีจำนวน 3 ด้าน เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง</p> สุขุม พรมเมืองคุณ, วรรณภา นันทะแสง, รัชนิวรรณ อนุตระกูลชัย, วิชัย ประทุมไทย Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1926 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยชุมชน : กรณีศึกษาตลาดน้ำดอนหวาย อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1927 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยชุมชนของตลาดน้ำดอนหวาย จังหวัดนครปฐม 2. เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยในการดำเนินการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยชุมชน ของตลาดน้ำดอนหวาย จังหวัดนครปฐม&nbsp; 3. เพื่อสร้างกลยุทธ์การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยชุมชนของตลาดน้ำดอนหวาย อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มุ่งเน้นการศึกษาทรัพยากรและบริบทของชุมชนซึ่งเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ผู้วิจัยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลัก 20 คน ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่มจำนวน 10 คน ซึ่งล้วนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการจัดการการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของตลาดน้ำดอนหวายผลการวิจัยพบว่า ตลาดน้ำดอนหวายมีทรัพยากรทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นและมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืน แต่ยังขาดการพัฒนาศักยภาพของประชาชนและการมีส่วนร่วมในระดับชุมชน จึงเสนอแนวคิดเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์การเสริมสร้างศักยภาพชุมชน กลยุทธ์ด้านการเงินและการสนับสนุนจากภายนอก และกลยุทธ์การพัฒนาแหล่งเรียนรู้โดยชุมชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงและเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐอย่างเป็นระบบ</p> ธนาวัลย์ ทบมาตร, จิรัตนา กรีวงษ์, พรทิพย์ ลยานันท์, Raja Mannar Badur, พระอุทิศ สุขแสง Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1927 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อเเรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตหนองจอก จังหวัดกรุงเทพมหานคร https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1928 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเเรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตหนองจอก จังหวัดกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อเเรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตหนองจอก จังหวัดกรุงเทพมหานคร วิธีการศึกษาได้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักเรียนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตหนองจอก จำนวน 375 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามชนิดมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 45 ข้อ แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเเรงจูงใจในการเรียนเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ได้แก่ปัจจัยด้านลักษณะมุ่งอนาคต ปัจจัยด้านเจตคติต่อการเรียน ปัจจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเพื่อน ปัจจัยด้านพฤติกรรมการสอนของครู ปัจจัยด้านบรรยากาศในชั้นเรียนและ ปัจจัยด้านความคาดหวังของผู้ปกครอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple regression analysis) โดยนำไปทดลองสอบถาม (try-out) กับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 30 คน เพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach's Alpha Coefficient) (Cronbach, 1971 p.60) ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ทั้ง 6 ด้าน เท่ากับ .91 ผลการวิจัยพบว่า 1.ระดับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเเรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตหนองจอก จังหวัดกรุงเทพมหานคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความคิดเห็นต่อด้านความคาดหวังของผู้ปกครองมากที่สุด โดยอยู่ในระดับมาก ด้านเจตคติต่อการเรียน โดยอยู่ในระดับมากและน้อยที่สุด ด้านบรรยากาศในชั้นเรียน โดยอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อเเรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ได้แก่ ปัจจัยด้านความคาดหวังของผู้ปกครอง (β= .270) ด้านลักษณะมุ่งอนาคต (β= .180) และด้านบรรยากาศในชั้นเรียน (β= .120) มีผลต่อเเรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียน ระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตหนองจอก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> รอฮันณี ต่วนจาหลง, อัจศรา ประเสริฐสิน Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1928 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการ MIAP ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1929 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; บทความวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการ MIAP ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก 2) ศึกษาทักษะปฏิบัติงานของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการ MIAP ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการ MIAP ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1/1 สาขาวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานี สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.40 - 0.77 ค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.20 - 0.60 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 แบบวัดทักษะการปฏิบัติงานสำหรับนักเรียน มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test (One Samples t-test)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการ MIAP ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 76.00 จากการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ที่กำหนดไว้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ทักษะปฏิบัติงานของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการ MIAP ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก โดยภาพรวม อยู่ในระดับดีมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับดีมาก และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีผลต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ MIAP ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> กำชัย ศรีวอุไร, เบญจพร วรรณูปถัมภ์, กระพัน ศรีงาน Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1929 Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในธุรกิจอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1939 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาปัจจัยคุณลักษณะองค์กรของสถานประกอบการ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในธุรกิจอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากตัวแทนสถานประกอบการในธุรกิจอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานีจำนวน 359 แห่ง ซึ่งใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการศึกษาพบว่า 1) สถานประกอบการในธุรกิจอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานีโดยรวมมีคุณลักษณะองค์กรในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านทักษะและความรู้ของบุคลากรและด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอยู่ในระดับมากที่สุด 2) สถานประกอบการในธุรกิจอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานีโดยรวมและรายด้านทุกด้านมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อยู่ในระดับมาก โดยด้านที่อยู่ในระดับมากเป็นอันดับแรกได้แก่ด้านทักษะ รองลงมาคือด้านทัศนคติและด้านการเรียนรู้ และ 3) ปัจจัยคุณลักษณะองค์กรที่มีอิทธิผลส่งผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในธุรกิจอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานีเรียงตามลำดับมากไปน้อยได้แก่ ปัจจัยด้านทักษะและความรู้ของบุคลากร ปัจจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจัยด้านสิ่งจูงใจและค่าตอบแทน และปัจจัยด้านภาวะผู้นำ ตามลำดับ</p> พินิจ แกล้วเกษตรกรณ์, วิชุตา นาคเถื่อน Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1939 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตบางบอน สังกัดกรุงเทพมหานคร https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1940 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับของปัจจัยด้านต่างๆ ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านต่างๆ กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ และ 3) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตบางบอน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตบางบอน สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2567 จำนวน 269 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) มี 5 ระดับ จำนวน 40 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple regression analysis) มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ทั้ง 7 ด้าน ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .97 ผลวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่ส่งต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ เจตคติต่อการเรียน ความตั้งใจเรียน สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู การส่งเสริมการเรียนของผู้ปกครอง บรรยากาศในชั้นเรียน มีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนด้านคุณภาพการสอนของครู มีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ปัจจัยภายในตัวผู้เรียน ได้แก่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ เจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ความตั้งใจเรียน และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู สามารถร่วมกันพยากรณ์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตบางบอน สังกัดกรุงเทพมหานคร ได้ร้อยละ 93.80 ส่วนปัจจัยภายนอก ได้แก่ การส่งเสริมการเรียนของผู้ปกครอง คุณภาพการสอนของครู และ บรรยากาศในชั้นเรียน สามารถร่วมกันพยากรณ์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตบางบอน สังกัดกรุงเทพมหานคร ได้ร้อยละ 27.00</p> กชพร แก้วยอด, อัจศรา ประเสริฐสิน, ประสาน ประวัติรุ่งเรือง Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1940 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการเพื่อพัฒนาทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัย https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1941 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาการพัฒนาทักษะสมอง (EF) ของเด็กปฐมวัยปีที่ 1 โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการ 2) เปรียบเทียบทักษะสมอง (EF) ของเด็กปฐมวัยระหว่างก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการ เป็นการวิจัยกลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัยปี 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน โรงเรียนแห่งหนึ่งในเขตดอนเมือง สังกัดกรุงเทพมหานคร ใช้แบบแผนการวิจัยแบบทดลองเบื้องต้น แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง (one group pretest-posttest design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการเพื่อพัฒนาทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยจำนวน 15 แผน 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบประเมินทักษะสมอง EF จำนวน 15 ข้อ โดยยึดตามแบบประเมิน KU-THEF”สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) การให้คะแนนโดยจะเป็นระดับจาก 1-3 หรือ ใช้การประเมินแบบเชิงคุณภาพตามพฤติกรรมที่แสดงออกแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย (มหาวิทยาลัยมหิดล, คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์. 2019) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การหาค่าสถิติพื้นฐาน และสถิติทดสอบที t-test (Dependent)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาการพัฒนาทักษะสมอง (EF) ของเด็กปฐมวัยปีที่ 1 โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการ เด็กปฐมวัยที่เข้าร่วมมีทักษะสมอง EF ทั้ง 3 ทักษะ สูงขึ้นตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบการพัฒนาทักษะสมอง (EF) ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบโครงการของเด็กปฐมวัยปีที่ 1 โดยรวมก่อนการทดลองมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6.17 หลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 12.27 แตกต่างกันเท่ากับ 6.05 ค่า t เท่ากับ 31.276 แสดงว่าทักษะสมอง (EF) ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการสูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อำมรรัตน์ สมศรีสุข, อัจศรา ประเสริฐสิน, ประสาน ประวัติรุ่งเรือง Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1941 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 การจัดการศึกษาในสังคมพหุวัฒนธรรมพื้นที่ชายขอบของสถานศึกษาสหวิทยาเขตดอยอ่างขาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1943 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการบริหารการจัดการศึกษาและแนวทางพัฒนาการบริหารการจัดการศึกษาในสังคมพหุวัฒนธรรมพื้นที่ชายขอบของสถานศึกษาสหวิทยาเขตดอยอ่างขาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 205 คน และผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ รวม 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ข้อคำถามมีค่า IOC รายข้ออยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา นำเสนอโดยวิธีเชิงพรรณนา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า การบริหารการจัดการศึกษาในสังคมพหุวัฒนธรรมในพื้นที่ชายขอบโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ดังนี้ ด้านคุณลักษณะของผู้บริหารในบริบทพหุวัฒนธรรม ด้านการสร้างเครือข่ายสถานศึกษาในบริบทพหุวัฒนธรรม ด้านความสัมพันธ์กับชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ด้านการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนในบริบทพหุวัฒนธรรม และด้านภาวะผู้นำของผู้บริหารในบริบทพหุวัฒนธรรมศึกษา ตามลำดับ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แนวทางพัฒนา คือ ด้านความสัมพันธ์กับชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการเชิญปราชญ์ชาวบ้านหรือผู้รู้ในท้องถิ่นมาให้ความรู้แก่นักเรียน ด้านภาวะผู้นำของผู้บริหารในบริบทพหุวัฒนธรรมศึกษาเข้าใจในความแตกต่างของวัฒนธรรมที่มีอยู่ในชุมชนอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นประเพณี วิถีชีวิต หรือความเชื่อที่แตกต่างกัน ด้านการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนในบริบทพหุวัฒนธรรม ส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนในบริบทพหุวัฒนธรรมด้วยการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านคุณลักษณะของผู้บริหารในบริบทพหุวัฒนธรรมสามารถมองเห็นและวิเคราะห์สภาพความเป็นอยู่ของชุมชนและนักเรียนในทุกมิติได้อย่างรอบด้าน ด้านการสร้างเครือข่ายสถานศึกษาในบริบทพหุวัฒนธรรม เป็นสื่อกลางระหว่างสถานศึกษากับชุมชน</p> เอกชัย ลิโก, สังวาร วังแจ่ม, สมมาต คำวัจนัง, มานะ ครุธาโรจน์ Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1943 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 ระดับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากร เทศบาลตำบลจอมทอง อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1964 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. เพื่อศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรเทศบาลตำบลจอมทอง 2. เพื่อเปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรเทศบาลตำบลจอมทอง อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู ให้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ คือจำนวนของบุคลากร เทศบาลตำบลจอมทอง อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภูทั้งหมด คือ 105 คนที่ ปฏิบัติงานอยู่เป็นประชากรกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด โดยการกำหนดกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาตั้งแต่ 0.66 - 1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .968 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าร้อยละค่าเฉลี่ยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสำหรับข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง สถิติเชิงอนุมานได้แก่ t-test และ F-test สำหรับเปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากร ที่จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ รายได้ต่อเดือน</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1. ความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากร เทศบาลตำบลจอมทอง อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์การบุคลากรที่จำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ และรายได้ต่อเดือน พบว่าไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนระยะเวลาการปฏิบัติงาน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> โกศล ส่อดส่อง Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1964 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้เกมออนไลน์เพื่อพัฒนาไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักศึกษามหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1976 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยเชิงทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษระหว่างก่อนและหลังการใช้เกมออนไลน์ และ (2) ศึกษาเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษผ่านเกมออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมดิจิทัล คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ จำนวน 40 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย (1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมออนไลน์ (2) แบบทดสอบวัดความรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรียน และ (3) แบบสอบถามเจตคติต่อการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษด้วยเกมออนไลน์ การวิจัยดำเนินการในระยะเวลาหนึ่งภาคการศึกษา โดยนักศึกษาได้เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนไวยากรณ์ผ่านเกมออนไลน์เป็นเวลา 16 ชั่วโมง เน้นโครงสร้างไวยากรณ์ที่สำคัญ ได้แก่ กาล (tenses) คำนำหน้านาม (articles) คำบุพบท (prepositions) กริยาช่วย (modal verbs) ประโยคเงื่อนไข (conditional sentences), ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ (passive voice) , ประโยคสัมพันธ์ (relative clause) and คำพูดที่รายงาน (reported speech) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า (1) นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษหลังการใช้เกมออนไลน์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีพัฒนาการที่โดดเด่นในการใช้กาลของกริยา (verb tense) และการสร้างโครงสร้างประโยค และ (2) นักศึกษามีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษผ่านเกมออนไลน์ โดยมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก นักศึกษารายงานว่ามีแรงจูงใจเพิ่มขึ้น ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเรียนไวยากรณ์ลดลง และมีส่วนร่วมในกิจกรรมในชั้นเรียนมากขึ้น</p> พรณรงค์ สิงห์สำราญ, ยุวดี ชูจิตต์, ณปภัช วชิรกลิ่นขจร, อมรรัตน์ ประวัตรุ่งเรือง, คำเพชร ภูริปริญญา Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1976 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1977 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ 2 ) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามอายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูในโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ประกอบด้วย 26 โรงเรียน จำนวน 234 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) ลักษณะคำถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ ตามวิธีของลิเคอร์ท (Likert) สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้สถิติเชิงอนุมาน ทดสอบสถิติ t-test และ F-test (One-way ANOVA)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในความคิดเห็นของครู ในโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ในภาพรวม อยู่ระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการจัดการหลักสูตรและการสอน อยู่ระดับมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านการประเมินผลและการตรวจสอบความก้าวหน้าของนักเรียนอยู่ระดับมากที่สุด และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการวางแผนกำหนดภารกิจอยู่ระดับมาก</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบความคิดเห็นของกลุ่มประชากรครูในโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ที่มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน พบว่า สถานศึกษา ด้านการนิเทศการสอน และด้านการประเมินผลและการตรวจสอบความก้าวหน้าของนักเรียน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> อภิรักษ์ ชาญศึก, รวัฒน์ มันทรา Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1977 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1978 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) แรงจูงในการปฏิบัติงานของครู และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารและครูผู้สอนของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู จำนวน 326 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน โดยผู้บริหารเลือกแบบเจาะจง ครูผู้สอนใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ Stratified Random Sampling เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามตอบสนองคู่ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.67 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.868 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. แรงจูงในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 3. ภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู มีความสัมพันธ์เชิงเส้นระดับสูงมากในทิศทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = .956)</p> เอกลักษณ์ เพ็งพรหม, พิพัฒน์ ประดับเพชร Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1978 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 การวิจัย ติดตาม และประเมินผล โครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา อย่างต่อเนื่อง รุ่นที่ 1 และ รุ่นที่ 2 : ศูนย์ยวพัฒน์ มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1982 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์ยวพัฒน์ มูลนิธิรัฐบุรุษพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในการพัฒนาครูและโรงเรียนสังกัดกรมส่งเสริมปกครองท้องถิ่น โดยวิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้บริหาร ครู นักเรียน และโค้ชของโครงการในโรงเรียน 20 แห่งใน 11 จังหวัด โดยรวบรวมข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม การสังเกต การศึกษาเอกสาร และการเข้าร่วมประชุมออนไลน์</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ดำเนินงานตามมาตรการของโครงการฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมาตรการที่ 1 คือการกำหนดเป้าหมายของโรงเรียน พบว่า โรงเรียนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายร่วมกับบุคลากรในโรงเรียน มาตรการที่ 2 คือการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ซึ่งครูส่วนใหญ่สามารถออกแบบการสอนที่หลากหลายตามบริบทของชั้นเรียน มาตรการที่ 3 คือการพัฒนาครูและผู้บริหารผ่านกระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) พบว่าโรงเรียนมีการจัดประชุม PLC ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยมีโค้ชให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด มาตรการที่ 4 คือการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่มีคุณภาพ ซึ่งช่วยลดภาระงานเอกสารของครูและทำให้การติดตามพัฒนาการนักเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมาตรการที่ 5 เน้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆ พบว่าโรงเรียนส่วนใหญ่สามารถขยายเครือข่ายและแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อพัฒนาการศึกษาร่วมกันได้อย่างเป็นระบบ ส่วนมาตรการสุดท้ายคือการสร้างความเสมอภาคและการดูแลความปลอดภัย โรงเรียนมีการพัฒนาด้านอาคารสถานที่และการดูแลนักเรียนในระดับดีมาก รวมถึงการเยี่ยมบ้านนักเรียนและดูแลนักเรียนอย่างทั่วถึง จากภาพรวมพบว่าโรงเรียนมีการพัฒนาขึ้นในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้และพฤติกรรมของนักเรียน สะท้อนให้เห็นว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จในการส่งเสริมให้โรงเรียนพัฒนาตนเองอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ ได้แก่ โค้ชให้ความสำคัญ แนะนำ เอาใจใส่ แก้ปัญหาและช่วยเหลืออย่างกัลยาณมิตร</p> สุวิทย์ มูลคำ, อรทัย มูลคำ, วาสนา วิสฤตาภา Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1982 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การวิจัยติดตามและประเมินผลการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา อย่างต่อเนื่องของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1983 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามและประเมินผลการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่องของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้รับผิดชอบโครงการ โค้ช ผู้บริหารโรงเรียน ครู และนักเรียน เครื่องมือวิจัยได้แก่ การศึกษาเอกสาร การสนทนากลุ่ม การสังเกต และการรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ผลการวิจัยพบว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ดำเนินการตามวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ ได้แก่ 1) ติดตามกระบวนการบริหารงานและการดำเนินงานของโครงการ 2) ศึกษาความเปลี่ยนแปลงของโรงเรียนเป้าหมาย 3) ศึกษาปัจจัยและเงื่อนไขที่ส่งผลต่อความสำเร็จ และ 4) ประเมินประสิทธิผลของการดำเนินงาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการมีการพัฒนาทั้งระบบตาม 5 มาตรการของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยเฉพาะการพัฒนาครูและผู้บริหารผ่านกระบวนการชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC) ซึ่งมีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับมากที่สุด นอกจากนี้ ผู้บริหารและครูมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริหารและการสอนอย่างมีนัยสำคัญ นักเรียนมีการพัฒนาด้านความรู้ ทักษะ และคุณธรรมในระดับมาก โดยเฉพาะด้านคุณธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จ ได้แก่ การสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ การมีโค้ชและพี่เลี้ยงที่มีความเชี่ยวชาญ และการได้รับงบประมาณที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม พบปัญหาบางประการ เช่น การซ้ำซ้อนของข้อมูลระหว่าง กสศ. และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รวมถึงข้อจำกัดด้านเวลาในการดำเนินงาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ข้อเสนอแนะหลัก ได้แก่ การปรับปรุงระบบสารสนเทศให้เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงาน การเพิ่มระยะเวลาในการดำเนินงาน และการสนับสนุนการพัฒนาครูและโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง &nbsp;</p> วาสนา วิสฤตาภา, สรรเสริญ สุวรรณ์, สิริลักษณ์ ผลพานิช Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1983 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การบริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในยุคดิจิทัล สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1996 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในยุคดิจิทัล สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู และศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในยุคดิจิทัล สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูรักษาการหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ครู และผู้ดูแลเด็ก ปีการศึกษา 2567 จำนวน 124 คน และผู้ทรงคุณวุฒิในการสัมภาษณ์ เลือกแบบเจาะจง จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยดังนี้ ด้านการพัฒนาระดับมืออาชีพ ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านวิสัยทัศน์ดิจิทัล ด้านการสร้างโอกาส ด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วมการเรียนรู้ของผู้เรียน ด้านการปรับสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ ตามลำดับ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แนวทางพัฒนา คือ 1) ควรเน้นการพัฒนาองค์ความรู้ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการ สนับสนุนเครื่องมือที่เหมาะสม และสร้างชุมชนการเรียนรู้เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการสอนแบบดิจิทัล 2) ควรจัดหาและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ทันสมัย และเอื้อต่อการเรียนรู้ เช่น ห้องเรียนอัจฉริยะ ห้องสมุดดิจิทัล และพื้นที่สร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ยุคดิจิทัล 3) ควรใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสม สร้างเนื้อหาที่สร้างสรรค์ น่าสนใจ และเชิงบวก พร้อมทั้งมีการควบคุมและตรวจสอบเนื้อหาก่อนเผยแพร่ เพื่อเสริมภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสถานศึกษา 4) ควรเน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่น การสำรวจ และประสบการณ์ตรง เช่น กิจกรรมแบบโครงงาน ศูนย์การเรียนรู้ และการจำลองสถานการณ์ เพื่อพัฒนาทักษะและความคิดสร้างสรรค์ของเด็กอย่างเป็นธรรมชาติ 5) ควรใช้แนวทางบริหารที่มุ่งเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง พัฒนาครูให้มีความเชี่ยวชาญ ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและกระตุ้นการเรียนรู้ รวมถึงบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับวัย และ 6) ควรส่งเสริมการพัฒนาครูและบุคลากรผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการ การเรียนรู้ตลอดชีวิต และชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) พร้อมสนับสนุนการวิจัยและการสร้างนวัตกรรมการสอนที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย</p> ทุ่งฝน บุพพิ, สังวาร วังแจ่ม, สมมาต คำวัจนัง, มานะ ครุธาโรจน์ Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1996 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 การติดตามและประเมินผลการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ของมูลนิธิสตาร์ฟิชคันทรีโฮม จังหวัดเชียงใหม่ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1997 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามและประเมินผลการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่องของมูลนิธิสตาร์ฟิชคันทรีโฮม โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้บริหาร ครู นักเรียน และโค้ชในโรงเรียน 59 แห่งในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และสมุทรสาคร โดยรวบรวมข้อมูลจากการสังเกต การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการวิเคราะห์เอกสาร</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยสภาพเริ่มต้นและความเปลี่ยนแปลงของโรงเรียน พบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่มีปัจจัยสนับสนุนในระดับมาก โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณ แต่ยังขาดโค้ชพัฒนาครูอย่างเพียงพอ หลังเข้าร่วมโครงการ กระบวนการทำงานหลัก เช่น การบริหารจัดการและการมีส่วนร่วมของชุมชนอยู่ในระดับดีขึ้น ส่วนผลผลิตและผลลัพธ์ด้านทักษะนักเรียนเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลางเป็นระดับมาก การบริหารงานโครงการมีการดำเนินงานตาม 5 มาตรการและ 4 กระบวนการหลัก เช่น การจัดการเรียนรู้แบบยืดหยุ่นและการพัฒนาครู พบว่าผลลัพธ์หลังเข้าร่วมโครงการสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะทักษะการคิดวิเคราะห์และการสื่อสารของนักเรียนที่พัฒนาขึ้น ปัจจัยสำคัญได้แก่ การมีโค้ชที่มีจิตวิญญาณครูสูง การสนับสนุนงบประมาณและวิชาการ ความพร้อมของผู้บริหารและครู ตลอดจนการมีส่วนร่วมของชุมชน ในส่วนของประสิทธิผลโครงการพบว่า โครงการช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายผ่านการอบรมออนไลน์ ส่งผลให้ครูใช้เทคโนโลยีได้ดีขึ้น นักเรียนสร้างสรรค์งานได้ตามศักยภาพ และโรงเรียนพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์</p> สรรเสริญ สุวรรณ์ , วาสนา วิสฤตาภา, สิริลักษณ์ ผลพานิช Copyright (c) 2025 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JISSD/article/view/1997 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700