ความต้องการจำเป็นของการบริหารเพื่อลดอัตราการออกกลางคันของนักเรียนกลุ่มโรงเรียนบ้านดุง 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3
คำสำคัญ:
ความต้องการจำเป็น, การบริหาร, อัตราการออกกลางคันบทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ในการบริหารสถานศึกษาเพื่อลดอัตราการออกกลางคันของนักเรียนกลุ่มโรงเรียนบ้านดุง 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 2) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการบริหารสถานศึกษาเพื่อลดอัตราการออกกลางคันของนักเรียนกลุ่มโรงเรียนบ้านดุง 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนบ้านดุง 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 จำนวน 17 โรงเรียน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 120 คน จำแนกเป็น ผู้บริหาร จำนวน 17 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง ครูผู้สอน จำนวน 103 คน ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้จัดเรียงลำดับความต้องการจำเป็นจากความต้องการจำเป็นมากไปหาน้อย ใช้วิธี Priority Need Index (PNIModified)
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพปัจจุบันของการบริหารเพื่อลดอัตราการออกกลางคันของนักเรียนกลุ่มโรงเรียนบ้านดุง 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 โดยภาพรวมพบว่า อยู่ในระดับปานกลาง
2. สภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารเพื่อลดอัตราการออกกลางคันของนักเรียนกลุ่มโรงเรียนบ้านดุง 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 โดยภาพรวมพบว่า อยู่ในระดับมาก
3. ความต้องการจำเป็นของการบริหารเพื่อลดอัตราการออกกลางคันของนักเรียนกลุ่มโรงเรียนบ้านดุง 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 พบว่าโดยภาพรวม PNImodified= 0.60 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยการระบุความต้องการจำเป็นมากที่สุด พบว่าองค์ประกอบ ด้านการกำหนดนโยบายเพื่อลดอัตราการออกกลางคันของนักเรียน ที่ต้องได้รับการพัฒนาก่อนเป็นอันดับ 1 (PNImodified= 0.65) อันดับ 2 ด้านการพัฒนาระบบการติดตามและระบบงานดูแลช่วยเหลือนักเรียน (PNImodified= 0.61) และ อันดับ 3 ด้านการดำเนินการเชิงรุก (PNImodified= 0.58)
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2564). ดัชนีทางการศึกษาระดับภาค 1-18 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564. กรุงเทพฯ : สำนักนโยบายและกลยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ.
กองนโยบายและแผน สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2543). การศึกษาคุณลักษณะเชิงพฤติกรรมของครูประถมศึกษาตามการรับรู ของครูและผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. กระทรวงศึกษาธิการ.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2565). แนวปฏิบัติตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง นโยบายปฏิรูปการเรียน การสอนภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ: บริษัท จามจุรีโปรดักส จำกัด.
ผดุง อารยะวิญญู. (2541). การศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : ภาควิชาการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ธีรวี ทองเจือ และปรีดี ทุมเมฆ. (2560). แนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในศตวรรษที่ 21: มิติด้านการศึกษา. วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร, 5(3), 389 – 403.
นงลักษณ์ วิรัชชัย และ สุวิมล ว่องวาณิช. (2550). การวิจัยและประเมินความต้องการจำเป็น. กรุงเทพฯ: ธรรมดาเพรส.
ประยุง ภูศรี. (2561). การพัฒนาแนวทางการแก้ปัญหาการออกกลางคันของนักเรียนสำหรับ สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 26 . มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สำนักเลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติ. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579. กรุงเทพมหานคร: พริกหวานกราฟฟิค จำกัด.
สำนักเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.
Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607-610.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร