https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JCERD/issue/feed
Journal of Creative Education Research and Development
2025-12-07T08:13:33+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศศิรดา เเพงไทย
sasirada.p63@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>จุดมุ่งหมายและขอบเขต (</strong><strong>Aim and Scope)</strong></p> <p> Journal of Creative Education Research and Development ISSN : 3088 - 2257 (online) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ในสาขาที่เกี่ยวข้องด้านศึกษาศาสตร์ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย ทางด้านศึกษาศาสตร์<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่ ทางด้านศึกษาศาสตร์</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร<br /></strong>Journal of Creative Education Research and Development มีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ดังนี้<br /> - ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน<br /> - ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม </p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> บทความวิจัย และบทความวิชาการ มีอัตราค่าตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย และบทความวิชาการ (ภาษาไทย) ฟรี<br /> 2) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาอังกฤษ) ฟรี<br /> อนึ่ง การพิจารณารับบทความเพื่อลงตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของบรรณาธิการถือเป็นอันสิ้นสุด </p> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน</li> <li>บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ</li> <li>เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิ</li> <li>ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</li> </ol> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ</strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย และบทความวิชาการ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) </li> <li>เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ</li> <li>ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์</li> <li>เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</li> </ol> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์:<br /></strong>ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์ ฯลฯ) e-mail: Pcbu.0504@gmail.com โทร. 091 - 0611685 เเละ 093 - 3635858 (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศศิรดา เเพงไทย : บรรณาธิการ)</p>
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JCERD/article/view/2649
การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แบบฝึกทักษะ
2025-12-06T14:46:29+07:00
ศิรินภา จอมคำสิงห์
Phatsuda0008@gmail.com
ณิชาภาท์ กันขุนทศ
Phatsuda0008@gmail.com
นาตยา หกพันนา
Phatsuda0008@gmail.com
<p> งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และเพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ผลการวิจัยพบว่า หลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโคกกลางสมเด็จ อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 13 คน มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ การอ่านจับใจความ โดยรวม เท่ากับ 82.31 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการอ่านจับใจความจากโฆษณา มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละสูงที่สุด เท่ากับ 83.85 รองลงมา ด้านการอ่านจับใจความจากนิทานมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 82.31 และส่วนด้านการอ่านจับใจความจากข่าว มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละต่ำที่สุด เท่ากับ 80.77 และหลังการเปรียบเทียบการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนทักษะการอ่านจับใจความ เพิ่มขึ้น จากก่อนการใช้แบบฝึกทักษะ ร้อยละ 31.2 ของคะแนนเต็ม 30 คะแนน</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JCERD/article/view/2650
การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ตรงตามมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเกม
2025-12-06T14:54:43+07:00
ภูมินทร์ แมดมิ่งเหง้า
BhuminMadmingngao10Ksu@gmail.com
นาตยา หกพันนา
BhuminMadmingngao10Ksu@gmail.com
ณิชาภาท์ กันขุนทศ
BhuminMadmingngao10Ksu@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ตรงตามมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเกม 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเกม ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ระหว่าง ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเกม กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปี การศึกษา 2567 ของโรงเรียนห้วยตูมวิทยาคาร อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมจำนวนนักเรียน 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเกม จำนวน 6 แผน ใช้เวลา แผนละ 1 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดทักษะการเขียนสะกดคำ เป็นแบบทคสอบแบบเขียนตามคำบอก จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน คือ The Wilcoxon Signed Ranks Test ) ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ตรงตามมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา 3 โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเกม พบว่า หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเกม ชั้นประถมศึกษา 3 โรงเรียนห้วยตูมวิทยาคาร อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีคะแนนเฉลี่ยทักษะการเขียนสะกดคำที่ตรงตามมาตราตัวสะกด เท่ากับ 12.72 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 1.49 และค่าร้อยละ เท่ากับ 63.61 ค่าร้อยละหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเกมสูงขึ้นร้อยละ 12.27 2) ผลการเปรียบเทียบคะแนนทักษะการเขียนสะกดคำที่ตรงตามมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเกม พบว่า หลังการใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเกม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ทักษะการเขียนสะกดคำ สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมแบบฝึกทักษะร่วมกับเกม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JCERD/article/view/2653
ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1
2025-12-07T08:08:47+07:00
วิยะดา วรรณขันธ์
Wiyadawannakhan@gmail.com
<p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 42 และครูผู้สอน จำนวน 133 คน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 175 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน และการสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาตั้งแต่ 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.989 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ของเชฟเฟ่ (Scheffe')</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้</p> <p> 2) ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ที่มีประสบการณ์ในการทำงานและระดับการศึกษาที่ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนการจำแนกตามตำแหน่ง โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JCERD/article/view/2654
ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูไทยในศตวรรษที่ 21 ในโรงเรียนของกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษานากลาง 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2
2025-12-07T08:13:33+07:00
นิรามัย พลสนอง
niramai@gmail.com
<p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับสมรรถนะครูไทยในศตวรรษที่ 21 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับสมรรถนะครูไทยในศตวรรษที่ 21 4) ศึกษาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูไทยในศตวรรษที่ 21 ในโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษานากลาง 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 กลุ่มประชากร ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียนของกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษานากลาง 3 โดยใช้ตารางเครซี่และมอร์แกน และสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นเพื่อกำหนดสัดส่วนตามของสถานศึกษา จำนวน 112 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูไทยในศตวรรษที่ 21 ในการปฏิบัติงานของครูผู้สอน เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า ที่มีค่ามีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 และ 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1. ภาวะผู้นำเหนือผู้นำผู้บริหาสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก</p> <p> 2. สมรรถนะครูไทยในศตวรรษที่ 21 โดยภาพรวมและรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก</p> <p> 3. ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับสมรรถนะครูไทยในศตวรรษที่ 21 พบว่า มีความสัมพันธ์กันทางบวก</p> <p> 4. การวิเคราะห์ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา (X) ที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูไทยในศตวรรษที่ 21 ด้วยการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหูคูณ ปรากฏว่าด้านการอํานวยการความสะดวกให้เกิดวัฒนธรรมการนําตนเอง ส่งผลทางบวกต่อสมรรถนะครูไทยในศตวรรษที่ 21 (Y) โดยเขียนเป็นกรรมการถอถอยได้ดังนี้</p> <p> สมการคะแนนดิบ y ̂= 2.983 + 0.92 X<sub>7</sub></p> <p> สมการคะแนนมาตรฐาน z ̂ = 0.457 X<sub>7</sub></p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025