นวัตศาสตร์สหวิทยาการ

การวิเคราะห์การขยายตัวของอุตสาหกรรมในชุมชนอันเนื่องมาจากการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ (โครงการสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย)

Naranchala Khumlaitong — 2025-09-01

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และนครปฐม ประเมินความเหมาะสมของพื้นที่สำหรับการตั้งโรงงานอุตสาหกรรม โดยประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) และวิเคราะห์แนวโน้มการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมภายใต้กรอบแนวคิดทฤษฎีศูนย์กลางการเติบโต (Growth Pole Theory) การดำเนินงานใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงพื้นที่และวิเคราะห์เชิงอุปนัย โดยรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากหน่วยงานราชการ 7 ฐานข้อมูลหลัก ได้แก่ ขอบเขตการปกครอง ประชากร พื้นที่รวมตัวของอุตสาหกรรม เส้นทางคมนาคม ปริมาณไฟฟ้า จำนวนโรงงาน และจำนวนแรงงาน วิเคราะห์ด้วยเทคนิค Weighted Overlay Analysis เพื่อประเมินศักยภาพพื้นที่แต่ละจังหวัด ผลการวิจัยพบว่า จังหวัดกาญจนบุรีมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ ราชบุรีมีบทบาทสนับสนุนการผลิต และนครปฐมเหมาะสมเป็นฐานการผลิตสำเร็จรูปและคลังสินค้า พบแนวโน้มการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมใน 3 ลักษณะ คือ การกระจายตัวของโรงงาน SMEs การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสู่พื้นที่ที่มีศักยภาพ งานวิจัยนี้มีคุณค่าในการสนับสนุนการวางแผนเชิงนโยบาย การจัดสรรพื้นที่อุตสาหกรรม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทย โดยมีระบบโลจิสติกส์เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่และการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้งานแพลตฟอร์มเรียกรถตามความต้องการของผู้บริโภคหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

Thadathibesra Phuthong — 2025-09-01

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้งานแพลตฟอร์มเรียกรถตามความต้องการของผู้บริโภคหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยบูรณาการแนวคิดจากแบบจำลองความเชื่อด้านสุขภาพและแบบจำลองการยอมรับเทคโนโลยี ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้มีประสบการณ์ใช้งานแพลตฟอร์มเรียกรถจำนวน 136 คน ด้วยแบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่าการรับรู้ความง่ายของการใช้งานและการรับรู้ประโยชน์ส่งผลเชิงบวกต่อความตั้งใจใช้งานแพลตฟอร์มเรียกรถอย่างมีนัยสำคัญ โดยการรับรู้ความง่ายของการใช้งานมีอิทธิพลทั้งทางตรงต่อความตั้งใจใช้งานและทางอ้อมผ่านการรับรู้ประโยชน์ สิ่งชักนำให้เกิดการใช้งานและการรับรู้ความสามารถของตนเองมีอิทธิพลทางอ้อมผ่านการรับรู้ความง่ายของการใช้งานและการรับรู้ประโยชน์ ขณะที่การรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคโควิด-19 ไม่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้งานแพลตฟอร์ม ผลการวิจัยนี้มีคุณค่าทั้งในเชิงวิชาการโดยเพิ่มองค์ความรู้เกี่ยวกับการยอมรับเทคโนโลยีในบริบทหลังการแพร่ระบาด และเชิงการจัดการโดยเสนอแนะให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเรียกรถพัฒนาระบบให้ใช้งานง่าย ส่งเสริมการสื่อสารประโยชน์ และกระตุ้นการแนะนำบอกต่อเพื่อเพิ่มความตั้งใจใช้งานของผู้บริโภค

ปัจจัย คุณภาพชีวิตในการทำงาน สภาพแวดล้อมในการทำงาน และแรงจูงใจที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาในห้างสรรพสินค้า ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

Natchaya Muangsri — 2025-09-01

การศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์สาขาในห้างสรรพสินค้า ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 2) เพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์สาขาในห้างสรรพสินค้า ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 3) เพื่อศึกษาแรงจูงใจที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์สาขาในห้างสรรพสินค้า ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์สาขาในห้างสรรพสินค้า ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 298 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติการวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ

ผลการศึกษาพบว่า 1) คุณภาพชีวิตการทำงานไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์สาขาในห้างสรรพสินค้า ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 2) สภาพแวดล้อมในการทำงานส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์สาขาในห้างสรรพสินค้า ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และ 3) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์สาขาในห้างสรรพสินค้า ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05

ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเข้ารับราชการทหาร ของนักศึกษาวิชาทหาร ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 31 จังหวัดนครสวรรค์

ว่าที่ร้อยตรีหญิงพลอยสวย ทองอ่อน — 2025-09-01

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจของการเข้ารับราชการทหารของนักศึกษาวิชาทหาร ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 31 จังหวัดนครสวรรค์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการตัดสินใจสมัครเข้ารับราชการทหารของนักศึกษาวิชาทหาร ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 31 จังหวัดนครสวรรค์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ นักศึกษาวิชาทหาร ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหารมณฑลทหารบกที่ 31 จำนวนทั้งสิ้นรวม 2,621 นาย โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 349 นาย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาได้จากการคำนวณหาขนาดตัวอย่าง โดยของ Taro Yamane ในประชากรเท่ากับ 5% และระดับความเชื่อมั่น 95 และใช้การกลุ่มตัวอย่างสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม ทดสอบค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามได้เท่ากับ 0.80 สถิติที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน

ผลการศึกษาพบว่า

1. ระดับของแรงจูงใจในการเข้ารับราชการทหาร ของนักศึกษาวิชาทหารศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 31 จังหวัดนครสวรรค์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 05, S.D.= 0.77)
ผลการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเข้ารับราชการทหาร ของนักศึกษาวิชาทหารศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 31 จังหวัดนครสวรรค์ พบว่า ด้านการมีเกียรติศักดิ์ศรี และการยอมรับนับถือ (X₁) ด้านความมั่นคงในชีวิต (X₂) ด้านสวัสดิการและค่าตอบแทน (X₃) ด้านความก้าวหน้าในอาชีพ (X₄) ซึ่งมีอิทธิพลทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีสมการพยากรณ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเข้ารับราชการทหาร ของนักศึกษาวิชาทหารศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหารฯ (Y) ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้

สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ

Y = -0.04 + 0.28(X₁) + 0.12(X₂) + 0.10(X₃) + 0.47(X₄)

สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน

Z = 0.39 (Z₁) + 0.23 (Z₂) + 0.49 (Z₃) + 0.60 (Z₄)

ปัญหา อุปสรรคและแนวทางการบริหารงานพัสดุของผู้ปฏิบัติงานพัสดุ ในคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์

จิราพร เชิญขวัญ — 2025-09-01

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาการดำเนินงานด้านพัสดุของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ตามกรอบแนวคิดการบริหารพัสดุตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 รวมถึงแนวทางในการพัฒนาการบริหารงานพัสดุให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ บุคลากรสายวิชาการและสายสนับสนุน จำนวน 30 คน โดยคัดเลือกด้วยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) และการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

ผลการศึกษา พบว่า

การบริหารพัสดุของคณะมีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 อย่างไรก็ตาม ยังพบข้อจำกัดที่ส่งผลต่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน ได้แก่ การจัดสรรงบประมาณที่ยังไม่รองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อจำกัดด้านจำนวนผู้ประกอบการที่สามารถเข้าร่วมประมูล และความเข้าใจในกระบวนการตรวจรับพัสดุของบุคลากรในระดับปานกลาง
ระบบเทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุยังต้องได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มความแม่นยำและความโปร่งใส แนวทางพัฒนาการบริหารงานพัสดุที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านกฎหมายและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง การนำระบบดิจิทัลมาช่วยในการบริหารพัสดุ เช่น ระบบติดตามสถานะการจัดซื้อแบบเรียลไทม์ และซอฟต์แวร์จัดการพัสดุ การจัดทำแผนบริหารพัสดุที่มีโครงสร้างชัดเจน และการปรับปรุงพื้นที่จัดเก็บพัสดุให้มีระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาด

สรุปได้ว่าการบริหารงานพัสดุของคณะวิทยาการจัดการมีโครงสร้างและกระบวนการที่เป็นไปตามหลักกฎหมาย แต่ยังคงมีข้อจำกัดบางประการที่ต้องได้รับการปรับปรุง การนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาระบบพัสดุขององค์กรให้มีความยั่งยืน