https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jhssrlpru/issue/feed วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง 2025-12-25T14:00:45+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ตุลาภรณ์ แสนปรน jhssr.lpru@gmail.com Open Journal Systems <div><strong><span lang="TH">วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง</span></strong></div> <div> </div> <div><span lang="TH"><span lang="EN-US">ISSN: 2985-2765 E-ISSN: 2985-2757</span></span></div> <div> <div> </div> <div><span lang="TH">กำหนดออก</span><span lang="EN-US">: </span><span lang="TH">1 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - ธันวาคม</span></div> <div> <div> </div> <div><span lang="TH">นโยบายและขอบเขตในการตีพิมพ์ ครอบคลุมวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การปกครองท้องถิ่น นิติศาสตร์ การพัฒนาชุมชน ศิลปะและการออกแบบ ดนตรี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน วรรณกรรม การศึกษา และสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง</span></div> <div> <div> </div> <div><span lang="TH">ฐานข้อมูล: TCI กลุ่มที่ 3</span></div> </div> </div> </div> https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jhssrlpru/article/view/2285 สภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาการบริหารจัดการนิเทศภายในเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนจักรคำคณาทร จังหวัดลำพูน 2025-09-10T14:26:24+07:00 กิตติชัย ตั้งตรง Kittichaitangtrong@gmail.com สายฝน แสนใจพรม saiphon_san@cmru.ac.th <p style="font-weight: 400;"> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาการบริหารจัดการนิเทศภายในเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนจักรคำคณาทร จังหวัดลำพูน เก็บรวบรวมโดยใช้แบบสอบถามจากผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนจักรคำคณาทร จังหวัดลำพูน จำนวนทั้งสิ้น 160 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบทดสอบสภาพปัญหาและความต้องการบริหารจัดการในการพัฒนาการนิเทศภายใน</p> <p style="font-weight: 400;"><span style="font-weight: 400;"> ผลการวิจัยพบว่า </span><span style="font-weight: 400;">1) </span><span style="font-weight: 400;">สภาพปัญหาการบริหารจัดการนิเทศภายใน พบว่า ด้านหลักสูตรสถานศึกษาไม่ได้ส่งเสริมสมรรถนะของผู้เรียนเท่าที่ควร ด้านการจัดการเรียนรู้ไม่มีการบูรณาการองค์ความรู้จากหลากหลายรายวิชา ด้านสื่อการเรียนรู้นำเทคโนโลยีมาใช้เพียงบางขั้นตอน ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ที่ครูไม่ได้แสดงบทบาทเป็นผู้สอนแนะ (</span><span style="font-weight: 400;">Coach</span><span style="font-weight: 400;">) เป็นเพียงครูสั่งการ และด้านการวัดและประเมินผลโรงเรียนควรมีการใช้แอปพลิเคชัน </span><span style="font-weight: 400;">2) </span><span style="font-weight: 400;">ความต้องการในการพัฒนาการบริหารจัดการนิเทศภายใน พบว่า ด้านหลักสูตรสถานศึกษาต้องการพัฒนาเนื้อหาที่มีความทันสมัยเหมาะสมกับบริบทและกระบวนการมีส่วนร่วมในการกำหนดหลักสูตรของผู้เรียนการใช้แอปพลิเคชันเพื่อการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียน มีความต้องการในการส่งเสริมองค์ความรู้ในด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นจังหวัดลำพูน มีความต้องการในการพัฒนาบรรยากาศของโรงเรียนที่ส่งเสริมกระบวนจัดการเรียนรู้ กระบวนการกลุ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการเรียนรู้ และด้านการวัดและประเมินผลโรงเรียนมีความต้องการให้ครูผู้สอนมีการประเมินผลตามสมรรถนะของผู้เรียนมากกว่าการทดสอบ และควรมีการวัดและประเมินผลอย่างหลากหลาย</span></p> 2025-12-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jhssrlpru/article/view/2126 ความต้องการของหน่วยงานราชการในยุคดิจิทัลที่มีต่อสมรรถนะของบัณฑิตสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี 2025-08-27T16:20:03+07:00 พชร วรรณภิวัฒน์ rat_sart@hotmail.com <p style="font-weight: 400;"> งานวิจัยเรื่องความต้องการของหน่วยงานราชการในยุคดิจิทัลที่มีต่อสมรรถนะของบัณฑิตสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความต้องการสมรรถนะของบัณฑิตสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ตามความคิดเห็นของหน่วยงานราชการในยุคดิจิทัล และเพื่อเปรียบเทียบระดับความต้องการสมรรถนะของบัณฑิตสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ตามความต้องการของหน่วยงานส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ข้าราชการหรือพนักงานในหน่วยงานระดับภูมิภาคและหน่วยงานระดับท้องถิ่นในจังหวัดกาญจนบุรีที่รับนักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์เข้าฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ในปีการศึกษา 2566 จำนวน 29 หน่วยงาน 116 คน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้มาโดยการสุ่มแบบโควตา (Quota Sampling) ได้ข้าราชการหรือพนักงานในส่วนราชการที่รับนักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์เข้าฝึกประสบการณ์วิชาชีพ จำนวน 96 คน จาก 24 หน่วยงาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความต้องการสมรรถนะของบัณฑิต 5 ด้าน มีค่า IOCตั้งแต่ 0.67 – 1 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงทดสอบ ได้แก่สถิติทดสอบทีแบบอิสระ (Independent t-test)<br /><br /> ผลการวิจัยพบว่า หน่วยงานราชการทั้งระดับภูมิภาคและท้องถิ่นมีความต้องการสมรรถนะของบัณฑิตในทุกด้านอยู่ในระดับ “มากที่สุด” โดยเฉพาะด้านคุณธรรมจริยธรรม และทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ สะท้อนถึงความสำคัญที่หน่วยงานให้กับสมรรถนะเชิงพฤติกรรมและการทำงานร่วมกัน เมื่อเปรียบเทียบสมรรถนะบัณฑิตตามความต้องการของหน่วยงานราชการในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น พบว่า ทั้งสองกลุ่มมีความต้องการสมรรถนะบัณฑิตแต่ละด้านรวมถึงสมรรถนะด้านดิจิทัลไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ .05 (Sig. &gt; .05) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทั้งหน่วยงานราชการระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นต่างคาดหวังหรือมีความต้องการสมรรถนะของบัณฑิตสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาหน่วยงานในยุคดิจิทัลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน</p> 2025-12-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jhssrlpru/article/view/2341 แนวทางการสร้างเครือข่ายการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในรูปแบบออนไลน์อย่างยั่งยืน 2025-10-06T15:08:52+07:00 วรวุฒิ เพ็งพันธ์ worawut@go.buu.ac.th ณัฐฉณ ฟูเต็มวงศ์ nuttchana.ake@gmail.com นิพนธ์ กล่ำกล่อมจิตร niponk@buu.ac.th ณัฐที ปิ่นทอง nattee.pi@go.buu.ac.th <p style="font-weight: 400;"> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาคุณค่าของการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยผ่านช่องทางออนไลน์ และ (2) เสนอแนวทางการสร้างเครือข่ายการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในรูปแบบออนไลน์อย่างยั่งยืน เก็บรวบรวมข้อมูลจากรายงานผลการดำเนินโครงการอบรมสัมมนาออนไลน์เรื่อง “การเรียนรู้วิชาครูผ่านครูภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” ของมหาวิทยาลัยบูรพา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาและสถิติเชิงพรรณนา โดยใช้สถิติการวิจัย คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /><br /><span style="font-size: 0.875rem;"> ผลการวิจัยพบว่า การเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยผ่านช่องทางออนไลน์มีคุณค่าในสามด้าน ได้แก่ (1) ด้านการศึกษา ช่วยพัฒนาความรู้ เจตคติ และทักษะของผู้เข้าร่วม (2) ด้านสังคม ส่งเสริม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และก่อให้เกิดเครือข่ายชุมชนแห่งการเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม และ(3) ด้านสุนทรียศาสตร์ ช่วยสร้างความซาบซึ้ง ความสุข ความเพลิดเพลิน และแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์ สืบสานและถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมไทยทั้งในระดับชาติและนานาชาติ สำหรับแนวทางการสร้างเครือข่ายอย่างยั่งยืนควรประกอบด้วยองค์ประกอบหลักสามประการ ได้แก่ บุคคลที่มีความรู้ ความรัก และทักษะทางสังคม กิจกรรมที่มีความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นมิตร นอกจากนี้ยังควรมีการจัดการเครือข่ายอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่เพื่อสืบทอดความต่อเนื่องของเครือข่าย</span></p> 2025-12-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jhssrlpru/article/view/2378 นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อมรดกทางวัฒนธรรมศิลปกรรมล้านนาวัดพระธาตุลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง 2025-10-28T14:50:42+07:00 วราภรณ์ ภูมลี poommalee@gmail.com ศิญาพัฒน์ เสนจันทร์วุฒิไชย siyaphat@g.lpru.ac.th <div><span lang="TH"> บทความวิจัยเรื่องนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อมรดกทางวัฒนธรรมศิลปกรรมล้านนาวัดพระธาตุลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การจัดการองค์ความรู้ทางรูปแบบศิลปกรรมวัดพระธาตุลำปางหลวง 2) การสร้างนวัตกรรมศิลปกรรมชุมชนวัดพระธาตุลำปางหลวง และ 3) การพัฒนาข้อมูลเผยแพร่ข้อมูลศิลปกรรมวัดพระธาตุลำปางหลวง </span><span lang="EN-US">Application : Art Lampang Luang </span><span lang="TH">จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่าง ๆ ได้นำมาจัดหมวดหมู่ เผยแพร่ให้เข้าถึงความงามที่แฝงอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ให้รับรู้ถึงสุนทรียภาพของศิลปกรรม ของชุมชนที่มีรวมศูนย์กลางผ่านวัดพระธาตุลำปางหลวงมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม บ่งบอกถึงร่องรอยมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนานแสดงออกถึงความเข้มแข็งของชุมชน บนหนทางแห่งความเชื่อและความศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะความงามของศิลปกรรมล้านนายุคทองเพียงหนึ่งเดียวที่ยังความสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ให้การเผยแพร่จากการสร้างนวัตกรรมนี้ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายเหมาะสมกับวิถีชีวิตที่ตอบสนองความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี</span></div> 2025-12-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jhssrlpru/article/view/2442 คำเรียกบุคคลในการแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอนที่สะท้อนสังคมวัฒนธรรมอีสานสู่ความเป็นสมัยใหม่ 2025-10-28T14:23:11+07:00 อัษฎาวุฒิ ศรีทน atsadawoot@kkumail.com อิศเรศ ดลเพ็ญ itsdol@kku.ac.th <p style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อวิเคราะห์ลักษณะของคำเรียกบุคคลที่สะท้อนความเป็นสมัยใหม่ในการแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอน พร้อมทั้งตีความนัยเชิงสังคมวัฒนธรรมที่สะท้อนผ่านคำเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง โดยมุ่งหวังเพื่อทำความเข้าใจพลวัตการเปลี่ยนแปลงของสังคมอีสานในยุคโลกาภิวัตน์ที่กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บข้อมูลภาคสนามจากการแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอน จำนวนทั้งสิ้น 10 เรื่อง โดยคัดเลือกจากคณะหมอลำ 5 คณะ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความหลากหลายและครอบคลุมบริบทการแสดงในปัจจุบันผล<br /><br /><span style="font-weight: 400;"> การวิจัยพบคำเรียกบุคคลสมัยใหม่ 67 คำ แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก 1) กลุ่มที่สะท้อนอิทธิพลภายนอกและโครงสร้างสังคมที่เปลี่ยนไป เช่น บริบทองค์กร อาชีพเฉพาะทาง และสถานะทางเศรษฐกิจที่ยึดโยงกับทุนนิยม และ 2) กลุ่มที่เกิดจากการสร้างตัวตนและนิยามความสัมพันธ์ใหม่ ซึ่งสะท้อนอิทธิพลข้ามวัฒนธรรม อัตลักษณ์ทางเพศที่ซับซ้อน และวัฒนธรรมแฟนคลับ (</span><span style="font-weight: 400;">Fandom) </span><span style="font-weight: 400;">สรุปได้ว่า</span><span lang="TH">คำเรียกบุคคลในหมอลำทำหน้าที่เป็นดัชนีชี้วัดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญ สะท้อนการเปลี่ยนผ่านของสังคมอีสานจากจารีตประเพณีสู่สังคมเมืองที่ให้คุณค่ากับความสำเร็จทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังแสดงถึงการเปิดรับโลกาภิวัตน์ผ่านการนิยามอัตลักษณ์และความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ ทั้งมิติทางเพศที่เปิดกว้าง และความสัมพันธ์แบบศิลปินกับแฟนคลับ ข้อค้นพบนี้ยืนยันว่า หมอลำไม่ใช่เพียงการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม แต่เป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวา ซึ่งปรับตัวและนำเสนอภาพแทนของสังคมอีสานร่วมสมัยได้อย่างทรงพลัง</span></p> <p style="font-weight: 400;"> </p> 2025-12-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jhssrlpru/article/view/2579 การพึ่งตนเองของครัวเรือนอารยะเกษตร 2025-12-08T12:05:28+07:00 สุภีร์ สมอนา supee0302@hotmail.com <p><span style="font-weight: 400;"> บทความนี้มุ่งศึกษาการพึ่งตนเองของครัวเรือนที่มีการเปลี่ยนผ่านการเกษตรจากรูปแบบทุนนิยมมาสู่การผลิตเพื่อการเลี้ยงชีพอย่างพอเพียงหรือครัวเรือนอารยะเกษตร โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีหน่วยการวิเคราะห์ระดับครัวเรือน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนเมษายน–มิถุนายน 2568</span> <span style="font-weight: 400;">ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับตัวแทนครัวเรือนที่ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมให้ปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตเข้าสู่รูปแบบการผลิตเพื่อการเลี้ยงชีพอย่างพอเพียงตามรูปแบบโคก หนอง นา ผ่านการเข้าร่วมโครงการ โคก หนอง นา กับศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนอุดรธานี เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี ทำเกษตรกรรมในรูปแบบโคก หนอง นา และมีที่ดินระหว่าง 1 – 20 ไร่ จำนวน 24 ครัวเรือน จำแนกครัวเรือนเป็น 3 กลุ่ม โดยแบ่งตามความแตกต่างของขนาดที่ดินทำกิน ได้แก่ 1)</span><span style="font-weight: 400;">ครัวเรือนที่มีขนาดที่ดินทำกินตั้งแต่ 1 ไร่ ถึง 5 ไร่ (12 คน) 2) ครัวเรือนที่มีขนาดที่ดินทำกินตั้งแต่ 6 ไร่ ถึง 10 ไร่ (7 คน) และ3) ครัวเรือนที่มีขนาดที่ดินทำกินตั้งแต่ 11 ไร่ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 20 ไร่ (5 คน) ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา <br /><br /></span><span style="font-weight: 400;"> ผลการศึกษาพบว่า ครัวเรือนที่มีที่ดินจำนวน 1-5 ไร่ และ 6-10 ไร่ มีความสามารถพึ่งพาตนเองได้ดี ในด้านการพึ่งพาแรงงาน พึ่งพาเงินทุน และพึ่งพาทรัพยากรภายใน ส่วนครัวเรือนที่มีที่ดินจำนวน 10 ไร่ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 20 ไร่ ยังพึ่งพาตนเองได้ไม่เท่ากับครัวเรือนที่ดินจำนวน 1-5 ไร่ และ 6-10 ไร่ เนื่องจากขนาดที่ดินไม่สัมพันธ์กับจำนวนแรงงานในครัวเรือน</span></p> 2025-12-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jhssrlpru/article/view/2123 บทบาทอนุญาโตตุลาการเฉพาะกิจของ CAS ในการส่งเสริมความยุติธรรมทางการกีฬา: กรณีศึกษาการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 2025-09-04T11:08:07+07:00 ปีดิเทพ อยู่ยืนยง pedithep@hotmail.com <div><span lang="TH"> บทความฉบับนี้มุ่งศึกษาเป้าหมายหลักในการแก้ไขข้อพิพาททางการกีฬาผ่านการอนุญาโตตุลาการของศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา เป้าหมายเช่นว่านี้ย่อมส่งเสริมความยุติธรรมทางกีฬาและดำเนินการตามกฎหมายอันสร้างความรับผิดชอบต่อด้านจริยธรรม การละเมิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะความขัดแย้งทางการกีฬาในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 แผนกคดีอนุญาโตตุลาการเฉพาะกิจของศาลอนุญาโตตุลาการกีฬาที่ยุติธรรม เป็นกลางและรวดเร็ว ย่อมนำไปสู่การคุ้มครองให้เกิดการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นอันเกี่ยวเนื่องกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส 2024 บทความฉบับนี้เน้นศึกษาบทบาทของแผนกคดีอนุญาโตตุลาการเฉพาะกิจของศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา ในการต่อสู้กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมในวงการกีฬา ด้วยการศึกษาว่าบทบาทเช่นว่านี้ส่งเสริมสนับสนุนความยุติธรรมทางการกีฬาอย่างไร บทความฉบับนี้ยังหยิบยกตัวอย่างคดีสำคัญจากคำวินิจฉัยชี้ขาดของแผนกคดีอนุญาโตตุลาการเฉพาะกิจของศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา การวิเคราะห์นำไปสู่ข้อสรุปที่สำคัญเกี่ยวกับบทบาทของแผนกคดีอนุญาโตตุลาการเฉพาะกิจของศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา ซึ่งสามารถช่วยส่งเสริมความยุติธรรมทางกีฬาในกีฬาโอลิมปิกให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น</span></div> 2025-12-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jhssrlpru/article/view/2185 กาพย์มหาชาติ ลิลิตจันทกินรชาดก : วรรณกรรมคำหลวงสมัยอยุธยา 2025-09-05T13:04:51+07:00 ณัฐวุฒิ คล้ายสุวรรณ natawut.kla@mbu.ac.th <p><span style="font-weight: 400;">บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากาพย์มหาชาติ และลิลิตจันทกินรชาดกว่าเป็นวรรณกรรมคำหลวงหรือไม่ วิธีการศึกษาใช้เกณฑ์ 7 ประการ ของวรรณกรรมคำหลวงเป็นหลักในการศึกษา ผลการศึกษาพบว่ากาพย์มหาชาติ และลิลิตจันทกินรชาดกเป็นวรรณกรรมคำหลวงสมัยอยุธยาโดยกาพย์มหาชาติมีลักษณะตรงกับเกณฑ์ของวรรณกรรมคำหลวง 4 ประการ ได้แก่ 1) พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชโองการให้แต่ง 2) เป็นหนังสือแบบฉบับสำหรับเทศน์มหาชาติของทางราชการ 3) มีที่มาจากคัมภีร์พุทธศาสนาและแสดงสาระสำคัญทางความคิดผ่านคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ 4) ยกคาถาจากต้นฉบับภาษาเดิม คือ ภาษาบาลี แล้วแปลแต่งเป็นภาษาไทยในรูปแบบของร้อยกรอง ส่วนลิลิตจันทกินรชาดก มีลักษณะตรงกับเกณฑ์ของวรรณกรรมคำหลวง 3 ประการ ได้แก่ 1) พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชโองการให้แต่ง 2) มีที่มาจากคัมภีร์พุทธศาสนาและแสดงสาระสำคัญทางความคิดผ่านคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ 3) ยกคาถาจากต้นฉบับภาษาเดิม คือ ภาษาบาลี แล้วแปลแต่งเป็นภาษาไทยในรูปแบบของร้อยกรอง ผลการศึกษายังพบว่า วรรณกรรมคำหลวงในประเทศไทย มีทั้งหมด 7 เรื่อง ได้แก่ 1) มหาชาติคำหลวง 2) กาพย์มหาชาติ 3) ลิลิตจันทกินรชาดกคำหลวง 4) สุปรีติธรรมราชชาดกคำหลวง 5) นันโทปนันทสูตรคำหลวง 6) พระมาลัยคำหลวง 7) พระนลคำหลวง</span></p> 2025-12-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jhssrlpru/article/view/2433 พุทธธรรมในคติการสร้างและการบูชาหุ่นพยนต์ของอาจารย์ลอย โพธิ์เงิน 2025-11-19T11:13:41+07:00 ชนินทร์ ผ่องสวัสดิ์ chaninphopsawat@gmail.com ปิยวัจน์ ภะมะรินทร์ มีประเสริฐโชค chaninphopsawat@gmail.com <p><span style="font-weight: 400;"> บทความวิชาการเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์ศึกษาคติการสร้างและการบูชาหุ่นพยนต์ของอาจารย์ลอย โพธิ์เงิน ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหุ่นพยนต์ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการของผู้บูชา </span><span style="font-weight: 400;">จากการศึกษาพบว่า การสร้างหุ่นพยนต์ไม่ต่างจากการพิจารณาการเกิดชีวิตในคติพุทธศาสนา เพราะมี</span><span style="font-weight: 400;">การบริกรรมถึงธาตุ 4 ด้วยพุทธศาสนาเชื่อว่าธาตุ 4 (ดิน น้ำ ลม และไฟ) คือรูปขันธ์ (การรวมตัวของรูป) หลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ยืนยันคตินี้ได้คือคาถาบูชาหุ่นพยนต์หรือคาถาปลุกหุ่นพยนต์ ซึ่งปรากฏบาลีว่า</span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">“นะมะพะทะ” เป็นหัวใจธาตุ 4 เหตุที่ต้องมีการบริกรรมถึงธาตุ 4 แม้คาถาบูชาหุ่นพยนต์ต้องมีหัวใจธาตุ 4 เพื่อให้หุ่นพยนต์มีชีวิต ผู้บูชาจะได้สามารถใช้งานหุ่นพยนต์ได้ การใช้งานหุ่นพยนต์ก็มีปรากฏทั้งในคัมภีร์พุทธศาสนา คือ อรรถกถามหาปรินิพพานสูตร พระเวสสุกรรมเนรมิตหุ่นพยนต์เพื่อปกป้อง</span><span style="font-weight: 400;">พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ต่อมาหุ่นพยนต์ได้ปรากฏในวรรณคดีไทย เช่น เสภาขุนช้างขุนแผน และพระอภัยมณี โดยหุ่นพยนต์มีบทบาทเป็นทหารช่วยทำสงคราม การสร้างและการบูชาหุ่นพยนต์ของอาจารย์ลอย โพธิ์เงิน แม้จะคล้ายกับเครื่องรางของขลังแต่แฝงด้วยพุทธธรรมที่สะท้อนให้เห็นว่า การเกิดชีวิตของสิ่งมีชีวิตประกอบขึ้นจากขันธ์ 5 ซึ่งมาจากการประชุมรวมกันของธาตุ 4 จึงอาจกล่าวได้ว่า </span><span style="font-weight: 400;">ธาตุ 4 เป็นจุดกำเนิดขันธ์ 5 การรวมตัวของขันธ์ 5 ทำให้เกิดชีวิต หุ่นพยนต์จึงสามารถเคลื่อนไหวและ</span><span style="font-weight: 400;">ใช้งานได้เสมือนมีชีวิต</span></p> 2025-12-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jhssrlpru/article/view/2411 ครึ่งหนึ่งที่สูญหาย: การวิเคราะห์ตำนานอริสโตฟาเนสในงาน อภิปรัชญาว่าด้วยความรักของ เพลโตกับการสร้างความหมายทางเพศและความรัก 2025-11-04T16:37:46+07:00 วรพล โชติจิรเดชากุล woraponc68@nu.ac.th <p><span style="font-weight: 400;"> การตีความความรักในเพลโตมักถูกจำกัดด้วยกรอบทวิลักษณ์ทางเพศและการอ่านแบบศีลธรรม ซึ่งเน้นความสัมพันธ์ชายหญิงเป็นศูนย์กลาง บทความนี้จึงมุ่งทบทวนแนวคิดความรักในงานอภิปรัชญาว่าด้วยความรัก ผ่านการวิเคราะห์ตัวบทเชิงอรรถาธิบาย เพื่ออธิบายอีรอสในฐานะพลังแห่งการดำรงอยู่ที่อยู่เหนือการแบ่งแยกทางเพศ โดยชี้ให้เห็นว่าตำนานของอริสโตฟาเนสเสนอภาพมนุษย์ในฐานะสิ่งที่พร่องและแสวงหาอีกครึ่งหนึ่งของตน ขณะที่คำสอนของไดโอตีมาทำให้ความรักเป็นกระบวนการก้าวข้ามจากร่างกายสู่จิตโดยไม่ละทิ้งความสำคัญของกายภาพ ผลการวิเคราะห์พบว่าโครงสร้างของความรักในงานสนทนานี้ตั้งอยู่บนภาวะระหว่าง ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงกาย จิต และการรู้เข้าด้วยกัน และทำให้ความรักเพศเดียวกันและเพศต่างกันมีสถานะเท่าเทียมกันในระดับภววิสัย นอกจากนี้ การวิพากษ์การอ่านแบบศีลธรรมเทววิทยาชี้ให้เห็นว่าการตีความแนวนี้ละเลยแก่นของอีรอสที่เพลโตวางไว้ในฐานะพลังของความพร่องร่วมกัน บทความจึงเสนอการอ่านเพลโตในฐานะผู้วางรากฐานของความรักที่ไม่ยึดติดเพศ ซึ่งเข้าใจความรักเป็นพลังของการสมาน การก้าวข้าม และการอยู่ร่วมในความแตกต่างของมนุษย์ ผลลัพธ์ดังกล่าวช่วยเปิดพื้นที่ใหม่ให้แก่การสนทนาเรื่องเพศ อัตลักษณ์ และความสัมพันธ์ในโลกร่วมสมัย และชี้ว่าความรักในเพลโตอาจทำหน้าที่เป็นกรอบคิดเชิงจริยศาสตร์ที่ส่งเสริมการอยู่ร่วมอย่างเท่าเทียมในสังคมปัจจุบัน</span></p> 2025-12-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง