https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/issue/feed วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน 2025-09-20T19:51:25+07:00 จันทร์สิรี บิดร jamsdonline@gmail.com Open Journal Systems https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1907 การรับรู้คุณค่าเเละคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อความภักดีของผู้เข้าร่วมกิจกรรมไมซ์ ในพื้นที่โรงแรมเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2025-06-01T22:04:15+07:00 สุนิศา ไฮลิเกอร์ jennysunisaheiliger2542@gmail.com แสงแข บุญศิริ sangkae.p@nida.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับการรับรู้คุณค่า คุณภาพการบริการ และความภักดีของนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมกิจกรรมไมซ์ในพื้นที่โรงแรมเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2. เปรียบเทียบความแตกต่างของลักษณะประชากรศาสตร์ที่มีผลต่อการรับรู้คุณค่าของนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมกิจกรรมไมซ์ในพื้นที่โรงแรมเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 3. เปรียบเทียบความแตกต่างของลักษณะประชากรศาสตร์ที่มีต่อความพึงพอใจในคุณภาพการบริการของนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมกิจกรรมไมซ์ในพื้นที่โรงแรมเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 4. ศึกษาการรับรู้คุณค่าที่ส่งผลต่อความภักดีของนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมกิจกรรมไมซ์ ในพื้นที่โรงแรมเกาะสมุยจังหวัดสุราษฎร์ธานี 5. ศึกษาคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อความภักดีของนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมกิจกรรมไมซ์ในพื้นที่โรงแรมเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากนักท่องเที่ยว ชาวไทยที่เข้าร่วมกิจกรรมไมซ์ในโรงแรมเกาะสมุยภายในระยะเวลา 1 ปี จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ในการรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการท่องเที่ยว เช่น การชอบผจญภัยท่องเที่ยวช่วงวันหยุด และท่องเที่ยวระยะยาวส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมไมซ์อย่างมีนัยสำคัญ (p &lt; 0.05) และสามารถพยากรณ์ได้ 26.4% ปัจจัยแรงจูงใจทั้งด้านผลักและดึงส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมไมซ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) โดยสามารถพยากรณ์ได้ 37.8% ขณะที่ส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ช่องทางจัดจำหน่ายการส่งเสริมการตลาดและสิ่งแวดล้อม ทางกายภาพส่งผลต่อการตัดสินใจอย่างชัดเจน (p &lt; 0.05) และพยากรณ์ได้ถึง 69.1%</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1896 การบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ส่งผลต่อความผูกพันในองค์กรของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2025-05-27T20:52:01+07:00 ฐิติพร วิบูลย์วัฒน์ titiporn.vi@ku.th ไพลิน กิตติเสรีชัย pailin.k@ku.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 2. ศึกษาระดับความผูกพันในองค์กรของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 3. เปรียบเทียบระดับความผูกพันของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 4. ศึกษาปัจจัยด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ส่งผลต่อความผูกพันในองค์กรของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 380 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ซึ่งสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีแบบกลุ่มอิสระ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคุณ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับความผูกพันในองค์กรภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก โดยผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้แก่ เพศ อายุ ระยะเวลาการปฏิบัติงาน และสายงานที่ต่างกันมีระดับความผูกพันต่อองค์กรแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ได้แก่ ด้านการฝึกอบรมและพัฒนา และด้านค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ มีผลต่อความผูกพันต่อองค์กร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1963 ปัจจัยเชิงบูรณาการที่ส่งผลต่อความผาสุกในการเรียนรู้ของนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2025-06-29T10:07:17+07:00 แสงเดือน กิตติเจริญชัย sangduean14k@gmail.com พระครูภัทรธรรมบัณฑิต ekkapatr.abhi@mcu.ac.th วีรชัย คำธร wirachai.k@dru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับความผาสุกในการเรียนรู้ของนิสิตระดับปริญญาตรี 2. เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยเชิงบูรณาการที่ส่งผลต่อความผาสุกในการเรียนรู้ของนิสิต 3. เพื่อตรวจสอบยืนยันรูปแบบความผาสุกในการเรียนรู้ของนิสิต รูปแบบการวิจัยใช้วิธีแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณใช้วิธีวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบสาเหตุ กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตระดับปริญญาตรี จำนวน 337 รูป/คน และการวิจัยเชิงคุณภาพใช้เทคนิคการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า ระดับความผาสุกในการเรียนรู้ของนิสิตอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านความรักความศรัทธา ส่วนปัจจัยเชิงบูรณาการอยู่ในระดับมาก โดยการฝึกอบรมและความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาได้รับความสำคัญสูง การพัฒนาตนเองตามหลักอิทธิบาท 4 โดยเฉพาะฉันทะและวิมังสา เป็นตัวทำนายความผาสุกที่สำคัญที่สุด ร่วมกับความเชี่ยวชาญและการฝึกอบรมเมื่อวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณพบตัวทำนายสำคัญของความผาสุกในการเรียนรู้ ได้แก่ อิทธิบาท 4 ด้านความเชี่ยวชาญในสาขาวิชา ด้านการฝึกอบรม ซึ่งสามารถอธิบายการทำนายความผาสุกได้สูงถึง 75.1% นิสิตไทยมีระดับความผาสุกสูงกว่านิสิตต่างชาติอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะด้านศรัทธาและความมั่นคง ขณะที่ผลวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า โมเดล TEXIL-MCU ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญว่า เหมาะสมและสามารถนำไปใช้ได้จริง โดยเน้นการบูรณาการหลักอิทธิบาท 4 กับกลไกการศึกษา เช่น การฝึกอบรม การศึกษาดูงาน และการพัฒนาความเชี่ยวชาญ พร้อมข้อเสนอให้พัฒนาเครื่องมือประเมินด้านจิตวิญญาณเพิ่มเติมเพื่อเสริมความครอบคลุมของโมเดล</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1856 สมรรถนะด้านบัญชีและการยอมรับเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้งานระบบสารสนเทศทางการบัญชีและคุณภาพรายงานทางการเงินของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกในเขตกรุงเทพมหานคร 2025-06-10T22:09:33+07:00 อุไรวรรณ อินตอน uraiwan.into@gmail.com พรทิวา แสงเขียว academicporntiwa@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสมรรถนะด้านบัญชีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้งานระบบสารสนเทศทางการบัญชีของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกในเขตกรุงเทพมหานคร 2. เพื่อศึกษาการยอมรับเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้งานระบบสารสนเทศทางการบัญชีของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกในเขตกรุงเทพมหานคร 3. เพื่อศึกษาสมรรถนะด้านบัญชีที่ส่งผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงินของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกในเขตกรุงเทพมหานคร 4. เพื่อศึกษาการยอมรับเทคโนโลยี ที่ส่งผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงินของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกในเขต การวิจัยนี้ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.955 ผลการวิจัยพบว่า สมรรถนะด้านบัญชี เช่น ความรู้ ทักษะ และจรรยาบรรณ รวมถึงการยอมรับเทคโนโลยี มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศทางการบัญชี และคุณภาพรายงานทางการเงิน ทั้งในด้านความถูกต้อง การตรวจสอบได้ ความเข้าใจ ความเชื่อถือได้ และความทันเวลา จากผลการวิจัยได้เสนอแนะแนวทางการพัฒนาบุคลากรและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในยุคดิจิทัล</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1909 สมรรถนะนักบัญชีและการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชีส่งผลต่อความสำเร็จ ในอาชีพของนักบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร 2025-06-01T22:03:09+07:00 วันลภา เกิดเต็มภูมิ wanlapa.ke@spu.ac.th พรรณทิพย์ อย่างกลั่น Phanthip.ya@spu.ac.th จิตรลดา วิวัฒน์เจริญวงศ์ chitlada.wi@spu.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาสมรรถนะนักบัญชีที่ส่งผลต่อความสำเร็จในอาชีพของนักบัญชี ในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2. เพื่อศึกษาการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชีที่ส่งผลต่อความสำเร็จในอาชีพของนักบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร การเลือกกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีของ Krejcie &amp; Morgan ซึ่งสุ่มเลือกนักบัญชีที่ขึ้นทะเบียนและทำงาน ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 401 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน โดยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า สมรรถนะด้านความคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหาของนักบัญชีมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับกระบวนการปฏิบัติงานและความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความสำเร็จในอาชีพ ในด้านผลกระทบจากการพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง พบว่า การพัฒนาทักษะวิชาชีพ ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และจริยธรรมวิชาชีพ มีผลต่อความสำเร็จในอาชีพของนักบัญชีในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากผลการศึกษาสรุปได้ว่า การให้ความสำคัญในการพัฒนาทักษะด้านการคิดเชิงวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาของนักบัญชี รวมถึงการศึกษาพื้นฐานวิชาชีพ ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและจริยธรรมวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักบัญชีประสบความสำเร็จในอาชีพได้อย่างยั่งยืนและทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1854 การพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำนักศึกษาทางการบัญชีผ่านการลงพื้นที่บริการวิชาการถ่ายทอดบัญชีครัวเรือนในชุมชนจังหวัดสงขลา 2025-05-20T14:38:18+07:00 ณิชาภัทร บุญรัตน์ nichithapa@gmail.com <p>นักศึกษาหลักสูตรบัญชีบัณฑิตเตรียมความพร้อมออกสู่สังคมภายนอก โดยลงพื้นที่บริการวิชาการและบูรณาการความรู้ทางการบัญชี และบริหารจัดการโครงการตรวจประเมินประสิทธิภาพ การถ่ายทอดบัญชีครัวเรือน และประสิทธิผลการจัดทำบัญชีครัวเรือนในชุมชนที่จังหวัดสงขลา งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำนักศึกษาทางการบัญชีภายหลังลงพื้นที่ตามโครงการบริการวิชาการถ่ายทอดบัญชีครัวเรือนและติดตามผลการดำเนินโครงการ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาหลักสูตรบัญชีบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ที่เข้าร่วมโครงการบริการวิชาการถ่ายทอดบัญชีครัวเรือนในชุมชนจังหวัดสงขลา จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ <br />แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การลงพื้นที่บริการวิชาการถ่ายทอดและติดตามผลการทำบัญชีครัวเรือน ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำนักศึกษาทางการบัญชีในระดับค่อนข้างมาก ประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก เรียงลำดับความสำคัญมากไปหาน้อย ดังนี้ ภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และความกล้าแสดงออก</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1910 การบูรณาการบัญชีครัวเรือนเพื่อเสริมสร้างภูมิปัญญาทางบัญชี ภายใต้ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงของวิสาหกิจชุมชนจังหวัดเลย 2025-06-30T18:10:53+07:00 อำภาภัทร์ วสันต์สกุล am_lru@hotmail.com เมทยา อิ่มเอิบ machaya@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันของแนวปฏิบัติในการจัดทำบัญชีครัวเรือนภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของวิสาหกิจชุมชนจังหวัดเลย 2. เพื่อศึกษาทัศนคติ ปัญหา อุปสรรค ในการประยุกต์ใช้การบัญชีครัวเรือนภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของวิสาหกิจชุมชนจังหวัดเลย และ 3. เพื่อวิเคราะห์และเสนอแนวทางการจัดทำบัญชีครัวเรือนที่นำไปสู่การสร้างภูมิปัญญาทางบัญชี ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของวิสาหกิจชุมชนจังหวัดเลย กลุ่มตัวอย่าง คือ สมาชิกวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดเลย จำนวน 287 คน โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อแนวทางการจัดทำบัญชีครัวเรือนของวิสาหกิจชุมชนจังหวัดเลย แนวทางการจัดทำบัญชีครัวเรือน ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการเสริมสร้างภูมิปัญญาทางบัญชี และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการสร้างภูมิปัญญาทางบัญชีของวิสาหกิจชุมชนจังหวัดเลย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยสภาพปัญหาปัจจุบันการจัดทำบัญชีครัวเรือนในชีวิตประจำวันภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของวิสาหกิจชุมชนจังหวัดเลย พบว่า ประสบปัญหาเกี่ยวกับความเข้าใจในขั้นตอนการจัดทำผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังขาดงบประมาณที่ใช้ในการบริหารงาน และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย สำหรับด้านทัศนคติ ปัญหา อุปสรรคของการประยุกต์ใช้การบัญชีครัวเรือนภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของวิสาหกิจชุมชนจังหวัดเลย โดยภาพรวมส่วนใหญ่ไม่มีเวลาในการจัดทำบัญชี และบางแห่งมีบุคลากรที่ยังไม่เข้าใจในกระบวนการจัดทำบัญชีที่ถูกต้อง แนวทางการเสริมสร้างภูมิปัญญาทางบัญชีภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของวิสาหกิจชุมชนจังหวัดเลย ควรเกิดจากความร่วมมือของแต่ละฝ่าย เพื่อให้วิสาหกิจชุมชนฯ สามารถนำบัญชีครัวเรือนไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบบัญชีของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1880 การใช้บัญชีต้นทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร: กรณีกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ ตำบลไชยสถาน และกลุ่มผู้เลี้ยงแพะ ตำบลส้าน จังหวัดน่าน 2025-05-23T22:56:09+07:00 อรัณพงศ์ ทนันไชย aranphong@rmutl.ac.th อธิปัตย์ สายสูง s_athipat@rmutl.ac.th ชุติสร เรืองนาราบ chutisorn@rmutl.ac.th วุฒิกร สระแก้ว wuttigorn@rmutl.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้บัญชีต้นทุนในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ ตำบลไชยสถาน และกลุ่มผู้เลี้ยงแพะ ตำบลส้าน จังหวัดน่าน โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุน การจำแนกต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร ตลอดจนการคำนวณจุดคุ้มทุน เพื่อสนับสนุนการวางแผนการผลิตและการจำหน่ายอย่างมีประสิทธิภาพ งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษากลุ่มตัวอย่างจากเกษตรกรสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจำนวน 47 คน ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ ตำบลไชยสถาน จำนวน 32 คน และกลุ่มผู้เลี้ยงแพะ ตำบลส้าน จำนวน 15 คน การเก็บข้อมูลใช้ทั้งข้อมูลทุติยภูมิจากรายงานโครงการวิจัยฉบับสมบูรณ์ และการสังเกตพฤติกรรมของเกษตรกรในการจัดทำบัญชีต้นทุนในระหว่างการฝึกอบรมและการนำไปปฏิบัติจริง ผลการวิจัยพบว่า การประยุกต์ใช้บัญชีต้นทุนช่วยให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนเฉลี่ยในการผลิตได้ร้อยละ 15.3 สำหรับโคเนื้อ และร้อยละ 15.6 สำหรับแพะเนื้อ นอกจากนี้ เกษตรกรสามารถคำนวณจุดคุ้มทุนได้อย่างแม่นยำ วางแผนการผลิตได้ตรงกับความต้องการของตลาด และมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นมากกว่า 3.8 เท่า บัญชีต้นทุนยังส่งเสริมการรวมกลุ่มเพื่อจัดซื้อวัตถุดิบร่วมกัน เพิ่มอำนาจต่อรอง ลดความเสี่ยงด้านราคา และพัฒนาศักยภาพการจัดการอย่างมีระบบ งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า บัญชีต้นทุนเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรรายย่อย และควรได้รับการส่งเสริมในเชิงนโยบายเพื่อสร้างความยั่งยืนในภาคเกษตรกรรม</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1942 ทักษะของนักบัญชีและผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพส่งผลต่อคุณภาพของงบการเงิน ในสำนักงานอัยการสูงสุดภาค 1 – 9 2025-06-30T18:06:45+07:00 วนิดา ละครไทย fairyfairy7.12.39@gmail.com กนกศักดิ์ สุขวัฒนาสินิทธิ์ Kanoksak009@gmail.com นันทวุฒิ นาคจินดา nanthawut.na@spu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะของนักบัญชีที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพของงบการเงินในสำนักงานอัยการสูงสุดภาค 1 – 9 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านบัญชีของสำนักงานอัยการสูงสุดภาค 1 – 9 จำนวน 160 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์เชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุตั้งแต่ 25 – 35 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี มีประสบการณ์ทางบัญชี ตั้งแต่ 3 – 6 ปี ระดับทักษะของนักบัญชีอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านคุณลักษณะเฉพาะบุคคลเป็นด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ส่วนด้านสติปัญญาเป็นด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด และมีระดับผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก ด้านความทันเวลา เป็นด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ส่วนด้านความถูกต้องครบถ้วนเป็นด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด โดยทักษะของนักบัญชี และผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อคุณภาพของงบการเงิน ด้านการนำเสนอรายงานทางการเงิน การปราศจากข้อผิดพลาด และความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนี้ ควรศึกษาปัจจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การอบรมพัฒนาองค์ความรู้ในงานบัญชีราชการ หรือการมีระบบควบคุมภายในที่ดีร่วมกับทักษะของนักบัญชี เพื่อวิเคราะห์ภาพรวมที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพงบการเงินในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่แนวทางการพัฒนาบุคลากรและระบบบัญชีภาครัฐได้อย่างครอบคลุมและยั่งยืน</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1642 การพัฒนาความปลอดภัยสุขภาพอนามัยในสถานศึกษาด้วยการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน 2025-04-24T17:24:22+07:00 พัชราพรรณ จัดสนาม s66563833009@ssru.ac.th ปารณีย์ ศรีแก้ว paranee.sr@ssru.ac.th <p>บทความนี้นำเสนอแนวทางการพัฒนาความปลอดภัยสุขภาพอนามัยในสถานศึกษาด้วยการบริหาร โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน มาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีสุขภาพอนามัยที่ดี มีความปลอดภัย อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี รู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ และสามารถนำความรู้ประสบการณ์และทักษะไปดูแลตนเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยความสำเร็จของการพัฒนาความปลอดภัยสุขภาพอนามัยในสถานศึกษาด้วยการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ประกอบด้วย 1. ภาวะผู้นำของผู้บริหาร 2. การดำเนินงานโดยยึดหลักการกระจายอำนาจ 3. การเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาทร่วมกันอย่างเท่าเทียม 4. การดำเนินงานบริหารโดยยึดหลังต่าง ๆ เหล่านี้ร่วมกัน คือ หลักการกระจายอำนาจ หลักการมีส่วนร่วม หลักการคืนอำนาจจัดการศึกษาให้แก่ประชาชน หลักการบริหารตนเอง และหลักการตรวจสอบและถ่วงดุล</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1810 การวิเคราะห์พฤติกรรมการเลือกซื้อเบเกอรี่ในร้านสะดวกซื้อของผู้บริโภค ในเขตกรุงเทพมหานคร 2025-06-10T22:00:29+07:00 ธีรภา วิวัฒนศักดิ์ manawivatanasak67@gmail.com สุชาติ ปรักทยานนท์ manawivatanasak67@gmail.com ศิริพร สัจจานันท์ manawivatanasak67@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการเลือกซื้อเบเกอรี่ของผู้บริโภคในร้านสะดวกซื้อในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2. เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยทางการตลาดต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเบเกอรี่ในร้านสะดวกซื้อของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร โดยผู้วิจัยได้ศึกษาการวิจัยเชิงปริมาณ มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ได้มาจากกลุ่มผู้บริโภคเบเกอรี่ที่มาใช้บริการในร้านสะดวกซื้อ โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายมีความพร้อมในการให้ข้อมูลและสามารถเข้าถึงได้ จำนวน 364 ‍คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบสมมุติฐานโดยการวิเคราะห์การถดถอย ผลการวิจัยพบว่า 1. พฤติกรรมการเลือกซื้อเบเกอรี่ของผู้บริโภคในร้านสะดวกซื้อในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า พฤติกรรมการเลือกซื้อเบเกอรี่ในร้านสะดวกซื้อในเขตกรุงเทพมหานคร ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด สามารถเรียงลำดับค่าเฉลี่ยปัจจัยการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเบเกอรี่ ดังนี้ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา และด้านการตัดสินใจซื้อ ตามลำดับ 2. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีอิทธิพลกับการตัดสินใจเลือกซื้อเบเกอรี่ในร้านสะดวกซื้อของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาด ปัจจัยด้านคุณภาพการบริการ และปัจจัยด้านภาพลักษณ์ตราสินค้า มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเบเกอรี่ในร้านสะดวกซื้อในเขตกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1812 การสร้างเสริมความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ 2025-05-08T00:00:53+07:00 สุพัตรา จันทนะศิริ supatrachantanasiri@gmail.com อุไรวรรณ เตียนศรี Supatra_Cha@bkkthon.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาการสร้างเสริมความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ 2. ศึกษาปัจจัยส่งเสริมความสำเร็จที่มีความสัมพันธ์ต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารและบุคคลากรในธุรกิจเพื่อสุขภาพ จำนวน 193 ‍แห่ง และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์การถดถอย ผลการวิจัยพบว่า 1. การสร้างเสริมความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ พบว่าการสร้างเสริมความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจสุขภาพ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ ปัจจัยด้านการโฆษณา ปัจจัยด้านการประชาสัมพันธ์ ปัจจัยด้านการดำเนินงานและเทคโนโลยี และปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์และบริการ ตามลำดับ 2. กลยุทธ์และการตลาดออนไลน์ และตัวผู้ประกอบการ เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อความสำเร็จของผู้ประกอบธุรกิจสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1872 ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความสุขทางการเงินของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ในยุควิถีชีวิตใหม่ 2025-06-01T21:37:42+07:00 ภาศิริ เขตปิยรัตน์ pasiri@uru.ac.th ชิชญาสุ์ ช่างเรียน changrian@uru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสำคัญของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสุขทางการเงินของนักศึกษาและศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความสุขทางการเงินของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ในยุควิถีชีวิตใหม่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ นักศึกษาที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จำนวน 373 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สมการโครงสร้าง ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสุขทางการเงินของนักศึกษามากที่สุด คือ ด้านทักษะชีวิต รองลงมา คือ ด้านเศรษฐกิจพอเพียง และปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความสุขทางการเงินของนักศึกษามากที่สุด คือ การใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีอิทธิพลทางตรงต่อทักษะชีวิตและความสุขทางการเงิน อีกทั้งยังมีอิทธิพลทางอ้อมความสุขทางการเงินผ่านทักษะชีวิต โดยความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความสุขทางการเงินของนักศึกษา พบว่า มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ แสดงว่าโมเดลมีความเหมาะสมพอดีกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี โดยองค์ประกอบสามารถอธิบายความแปรปรวนของความสุขทางการเงินของนักศึกษาได้ร้อยละ 76 นอกจากนี้ การสร้างความสุขทางการเงินของนักศึกษาควรสร้างหลักสูตรการใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือกิจกรรมส่งเสริมการใช้ทักษะชีวิต เพื่อให้นักศึกษาสร้างสามารถสร้างความสุขทางการเงินจากการหารายได้และการใช้จ่ายที่เหมาะสม</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1712 การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานกับความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดี ของโรงเรียนวัดกระทุ่มเสือปลา 2025-05-23T14:02:48+07:00 พัชราพรรณ จัดสนาม s66563833009@ssru.ac.th ปารณีย์ ศรีแก้ว paranee.sr@ssru.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานกับการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดีของโรงเรียนวัดกระทุ่มเสือปลา 2. วิเคราะห์ปัจจัยลักษณะทั่วไปของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดีของโรงเรียนกระทุ่มเสือปลา และ 3. นำเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาสถานศึกษาปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดีของโรงเรียนโรงเรียนวัดกระทุ่มเสือปลา โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ทำการศึกษากับผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ ครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนวัดกระทุ่มเสือปลา จำนวน 62 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์ความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.60 - 1.00 และมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา เท่ากับ 0.94 การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ในการทดสอบสมมติฐาน ผลการศึกษาพบว่า โรงเรียนวัดกระทุ่มเสือปลามีการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เพื่อการจัดการสถานศึกษาปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีการจัดการสถานศึกษาปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยพบว่าการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานมีความสัมพันธ์กับการจัดการสถานศึกษาปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดีของโรงเรียนวัดกระทุ่มเสือปลาอยู่ในระดับสูง (r = 0.704) และพบว่า มีเพียงปัจจัยด้านสถานภาพของผู้บริหารฯ เท่านั้น ที่ส่งผลต่อการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดีของโรงเรียนวัดกระทุ่มเสือปลาที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1799 การขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่ส่งเสริมการพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่น 2025-06-03T11:58:39+07:00 นฤเบศร์ เจริญศรี naruebetc66@nu.ac.th ศุภกร มาลีแก้ว naruebetc66@nu.ac.th ธีรศักดิ์ อุปไมยอธิชัย thirasaku@nu.ac.th <p>การพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นแนวทางสำคัญในการเสริมสร้างอัตลักษณ์ของชุมชนและสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคม การขับเคลื่อนกลยุทธ์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่น จำเป็นต้องใช้แนวทางเชิงระบบที่ครอบคลุมการกำหนดนโยบาย การบริหารจัดการ และการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน บทความนี้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยอาศัยหลักการบริหารเชิงกลยุทธ์ การวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อม และแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับสถานศึกษาและชุมชน เนื้อหาของบทความครอบคลุมแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับกลยุทธ์ ความสำคัญของการกำหนดทิศทางและแผนงานที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชน ตลอดจนปัจจัยที่เอื้อต่อการขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำมาใช้ได้จริง เช่น การบูรณาการวัฒนธรรมในหลักสูตรการศึกษา การใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมและเผยแพร่วัฒนธรรมท้องถิ่น และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน บทความนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทขององค์กรต่าง ๆ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อให้การพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1897 แนวทางพัฒนาการบริหารจัดการโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดสุโขทัย 2025-05-27T20:48:32+07:00 วันชนะ บุญบรรเจิด uratchayaphon.s@gmail.com อดิเรก ฟั่นเขียว adirek_f@kpru.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพการบริหารจัดการโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดสุโขทัย 2. ศึกษาปัญหาอุปสรรคของการบริหารจัดการโครงการ และ 3. เสนอแนวทางพัฒนาการบริหารจัดการโครงการ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคัดเลือกโดยเลือกแบบเจาะจง โดยกำหนดคุณสมบัติของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้แทนจากหน่วยงานผู้ดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของจังหวัดสุโขทัย จำนวน 26 คน ผู้รับผิดชอบ/ผู้มีประสบการณ์ ในการพัฒนาจังหวัดของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 จำนวน 10 คน โดยใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า 1. สภาพการบริหารจัดการโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. 2567 ของจังหวัดสุโขทัยมี 7 ด้าน ได้แก่ การวางแผน การจัดการองค์การ การจัดการบุคลากร การอำนวยการ การประสานงาน การรายงาน และงบประมาณ โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับปานกลาง 2. ปัญหาอุปสรรคของการบริหารจัดการโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปี ภาพรวมมี 7 ด้าน ได้แก่ การวางแผนขาดความชัดเจนและยืดหยุ่น การจัดการองค์การบุคลากรไม่เพียงพอและภาระงานไม่สมดุล การจัดบุคลากรขาดความเชี่ยวชาญและขาดแรงจูงใจ การอำนวยการ ผู้บังคับบัญชาสั่งการไม่ชัดเจนและตัดสินใจล่าช้า การประสานงานสื่อสารไม่ชัดเจนและขาดความร่วมมือ การรายงานมีขั้นตอนซับซ้อน ขาดการติดตามผล และงบประมาณมีไม่เพียงพอและกระบวนการอนุมัติล่าช้า 3. แนวทางพัฒนาการบริหารจัดการโครงการ ได้แก่ การวางแผนควรชัดเจนและยืดหยุ่น การจัดการองค์การมีประสิทธิภาพ การจัดบุคลากรที่มีความสามารถและแรงจูงใจ การอำนวยการที่ชัดเจน มีเอกภาพ การประสานงานที่ราบรื่นและสื่อสารชัดเจน การรายงานที่วัดผลได้จริง และการบริหารงบประมาณที่เหมาะสม ดังนั้น การพัฒนาการบริหารจัดการโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดสุโขทัยควรเริ่มจากการวางแผนที่ชัดเจนและยืดหยุ่น พร้อมประเมินความเสี่ยงและเตรียมแผนรับมือ การจัดการองค์กรต้องมีประสิทธิภาพ โดยส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน การจัดบุคลากรควรมีการฝึกอบรมและสร้างแรงจูงใจในการทำงาน การอำนวยการต้องมีความชัดเจนและเอกภาพ การประสานงานและการสื่อสารต้องรวดเร็วและชัดเจนการรายงานผลต้องใช้ตัวชี้วัดที่สามารถวัดผลได้จริง และการบริหารงบประมาณต้องมีความยืดหยุ่นและโปร่งใส</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1906 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) 2025-05-31T18:01:31+07:00 ปราชญา ชนะสงคราม tle.chnsk@hotmail.com ไพลิน กิตติเสรีชัย pailin.k@ku.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) เปรียบเทียบระดับประสิทธิภาพตามปัจจัยส่วนบุคคล และศึกษาปัจจัยแรงจูงใจและปัจจัยค้ำจุนที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) จำนวน 350 คน เครื่องมือที่ใช้ คือแบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่น 0.975 และสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมากที่สุด ประกอบด้วย ด้านคุณภาพงาน ด้านเวลาการทำงาน และด้านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ และระยะเวลาการทำงานมีความแตกต่างของประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ความสำเร็จในการทำงาน ลักษณะของงานความรับผิดชอบ (ซึ่งเป็นปัจจัยแรงจูงใจ) และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ค่าตอบแทน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (ซึ่งเป็นปัจจัยค้ำจุน) จากผลการวิจัย ผู้บริหารองค์กรสามารถนำผลลัพธ์ไปใช้กำหนดแนวทางการพัฒนาแรงจูงใจและการจัดสภาพแวดล้อม การทำงานที่เอื้อต่อการเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การส่งเสริมความรับผิดชอบในงาน เพิ่มช่องทางการสื่อสารเชิงบวก และปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการทำงาน</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1830 ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการคงอยู่ของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ 2025-06-10T22:03:57+07:00 ชนัฎดา พ่วงเภตรา chanutda.pua@ku.th เกวลิน ศีลพิพัฒน์ kevalin.s@ku.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับปัจจัยแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ 2. ศึกษาระดับปัจจัยค้ำจุนในการปฏิบัติงานของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ 3. ศึกษาปัจจัยแรงจูงใจในการปฏิบัติงานและปัจจัยค้ำจุนในการปฏิบัติงานของพนักงาน ที่ส่งผลต่อปัจจัยการคงอยู่ของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ จำนวน 380 คน วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล คือ แบบสอบถาม และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า พนักงานมีระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะด้านลักษณะงาน ความรับผิดชอบ และความสำเร็จในงาน ขณะที่ปัจจัยค้ำจุนก็อยู่ในระดับสูงเช่นกัน โดยเฉพาะด้านการบังคับบัญชา สถานะของตำแหน่ง และเงินเดือน ในส่วนของการคงอยู่ของพนักงานพบว่า มีระดับความตั้งใจในการอยู่กับองค์กรในระยะยาวอยู่ในระดับสูง ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยแรงจูงใจและปัจจัยค้ำจุน ด้านลักษณะงาน ด้านความรับผิดชอบ ด้านการบังคับบัญชา ด้านสภาพแวดล้อมการทำงาน ด้านความมั่นคงในงาน และด้านสถานะของตำแหน่งไม่ส่งผลต่อการคงอยู่ของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ แต่ด้านความสำเร็จในงาน ด้านการได้รับการยอมรับนับถือ ด้านความก้าวหน้าในงาน ด้านนโยบายและการบริหารงาน ด้านความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ด้านความมั่นคงในงาน ด้านเงินเดือน และด้านความเป็นส่วนตัว ส่งผลต่อภาพรวมการคงอยู่ของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1945 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร 2025-07-05T21:11:39+07:00 นุชนาถ วิริยะ nuchanatwiriya@gmail.com ปิยะจินต์ ปัทมดิลก paddamadilok@gmail.com ยุพิน สมคำพี yuphin.s@snru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. ระดับสมรรถนะดิจิทัลของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร 2. เปรียบเทียบสมรรถนะดิจิทัลของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ตามปัจจัยส่วนบุคคล และความสัมพันธ์กับปัจจัยด้านองค์กร และ 3. แนวทางการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างมี 300 คนและผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 คน การเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาสมรรถนะใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สมรรถนะดิจิทัลของบุคลากรอยู่ในระดับมาก บุคลากรที่มีปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ และอายุงานต่างกันมีสมรรถนะดิจิทัลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ยกเว้นด้านเพศ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง และการอบรม ส่วนปัจจัยด้านองค์กร เช่น โครงสร้างหน่วยงาน ยุทธศาสตร์องค์กร และระบบงานมีความสัมพันธ์กับสมรรถนะดิจิทัลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับแนวทางพัฒนาที่มีเหมาะสมมี 8 แนวทาง</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1946 การรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของพนักงาน บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด 2025-06-13T22:43:14+07:00 จันทร์จิรา ผิวนวล 66130233@dpu.ac.th ชนิดา จิตตรุทธะ chanida.jittaruttha@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับการรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของพนักงาน บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด 2. เพื่อเปรียบเทียบการรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของพนักงาน บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ รายได้และระดับการศึกษา 3. เพื่อเปรียบเทียบการรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของพนักงาน บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด จำแนกตามปัจจัยด้านงาน ได้แก่ ตำแหน่งงาน และระยะเวลาในการปฏิบัติติงาน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานของบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด จำนวน 165 คน โดยการสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิอย่างเป็นสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามอยู่ที่ 0.939 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทำการทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติเชิงอนุมาน โดยใช้ค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1. การรับรู้วัฒนธรรมของพนักงาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ทุกด้านภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยได้ดังนี้ ด้านวัฒนธรรมการรายงานมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ด้านวัฒนธรรมการให้ข้อมูล ด้านวัฒนธรรมการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ด้านวัฒนธรรมการเรียนรู้และด้านวัฒนธรรมการเป็นองค์การที่ยืดหยุ่น ตามลำดับ 2. เมื่อเปรียบเทียบการรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของพนักงาน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศ อายุ สถานภาพ และระดับการศึกษา มีการรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของพนักงาน ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ปัจจัยส่วนบุคคล ด้านรายได้ มีการรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของพนักงาน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3. เมื่อเปรียบเทียบการรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของพนักงาน จำแนกตามปัจจัยด้านตำแหน่งงาน พบว่า การรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของพนักงานไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ด้านระยะเวลาในการปฏิบัติติงาน การรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของพนักงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1786 กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดละครเวทีไทยในยุคดิจิทัล 2025-06-02T20:20:37+07:00 กุญช์ภัสส์ บุญปลูก kunyapas.b@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้นำเสนอแนวทางกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดละครเวทีไทยในยุคดิจิทัล โดยพัฒนา “MDD Model” ซึ่งประกอบด้วยการวางแผนการตลาด การกำหนดกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล และการวัดความสำเร็จการตลาดดิจิทัลเน้นการประยุกต์ใช้สื่อสังคมออนไลน์และเครื่องมือดิจิทัล เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา การตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา และ Google Analytics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร การเข้าถึงผู้ชม และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจละครเวทีในยุคดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูงและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1962 พฤติกรรมการเรียนตามหลักอิทธิบาทที่มีความสัมพันธ์กับทักษะพื้นฐานในศตวรรษที่ 21 ของนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2025-06-18T22:09:22+07:00 ทศพร พรวัฒนศิริกุล pornvat@gmail.com พระครูภัทรธรรมบัณฑิต ekkapatr.abhi@mcu.ac.th วีรชัย คำธร wirachai.k@dru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับทักษะพื้นฐานในศตวรรษที่ 21 ของนิสิตระดับปริญญาตรี 2. เปรียบเทียบพฤติกรรมการเรียนรู้ตามหลักอิทธิบาท 4 ที่มีความสัมพันธ์กับทักษะพื้นฐานในศตวรรษที่ 21 และ 3. ตรวจสอบและยืนยันรูปแบบการพัฒนาทักษะพื้นฐานในศตวรรษที่ 21 ของนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ในการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวนนิสิต 337 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า นิสิตมีพฤติกรรมการเรียนรู้ตามหลักอิทธิบาท 4 ในระดับมาก โดยเฉพาะด้าน “ฉันทะ” มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ส่วนทักษะพื้นฐานในศตวรรษที่ 21 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยทักษะ 3R และทักษะ 7C ผลการเปรียบเทียบพบว่า นิสิตไทยมีระดับทักษะพื้นฐานในศตวรรษที่ 21 สูงกว่านิสิตต่างชาติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และนิสิตระดับชั้นปีสูงมีทักษะสูงกว่านิสิตชั้นปีต้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน การวิเคราะห์เชิงพฤติกรรมชี้ให้เห็นว่า อิทธิบาท 4 ทุกด้าน มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับทักษะพื้นฐานในศตวรรษที่ 21 อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ “วิมังสา” และ “จิตตะ” เป็นตัวทำนายสำคัญของทั้งทักษะ 3R และ 7C โดยสามารถอธิบายความแปรปรวนร่วมได้ถึงร้อยละ 69.7 ด้านการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 รูป/คน เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของแบบจำลอง IDDIS21-MCU Model ซึ่งผลการประเมินพบว่า โมเดลดังกล่าวมีความชัดเจน เหมาะสม สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในบริบทการศึกษา และมีศักยภาพในการขยายผลสู่ระดับนานาชาติได้อย่างเหมาะสม</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1969 อิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อโซเชียลมีเดียที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย 2025-06-28T20:44:12+07:00 เมทยา อิ่มเอิบ methaya.ime@lru.ac.th กิตติมา หอมดวง Sb6540707104@lru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยของอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ที่มีต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย 2. เพื่อศึกษาปัจจัยของเนื้อหาในโพสต์ของอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อโซเชียลมีเดียที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย และ 3. เพื่อศึกษาอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ที่มีต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 375 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยทดสอบที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า อิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อโซเชียลมีเดียที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเลย จำแนกเป็นรายด้าน ดังนี้ ระดับความคิดเห็นของอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อโซเชียลมีเดียและเนื้อหาในโพสต์ของอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อโซเชียลมีเดีย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณสำหรับตัวแปรผลกระทบอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อโซเชียลมีเดียที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเลย พบว่า อิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อโซเชียลมีเดีย และเนื้อหาในโพสต์ของอินฟลูเอนเซอร์ ส่งผลต่อตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเลย แสดงว่า ตัวแปรอิสระสามารถพยากรณ์ประสิทธิภาพได้ร้อยละ 65.40 อย่างมีระดับนัยสำคัญ 0.05</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/2010 ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โครงสร้างทางการเงิน และความสามารถในการทำกำไรส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน 2025-07-15T14:38:12+07:00 นริทธิ บุญศักดิ์ naritthi@hotmail.com พรรณทิพย์ อย่างกลั่น Phanthip.ya@spu.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โครงสร้างทางการเงิน และความสามารถในการทำกำไร ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน โดยผู้ศึกษาวิจัยได้รวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากข้อมูลงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 – 2567 เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษามีจำนวน 143 บริษัท มีข้อมูลทั้งสิ้น 715 ข้อมูล การศึกษาข้อมูลในครั้งนี้ใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา เพื่ออธิบายลักษณะทั่วไปของข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย การหาค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ผลคะแนน ESG Scores อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชี กำไรต่อหุ้น และอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นที่ส่งผลเชิงบวกกับราคาหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 รวมถึงอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชีและอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ส่งผลเชิงบวกกับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 และ 0.05</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1842 Geopolitics: challenges in public administration in the AI era 2025-06-14T23:08:05+07:00 Atiporn Gerdruang atiporn.gerdruang@stamford.edu Chaipat Phanwattanasakul p_chaipat@gmail.com <p>This academic article aims to examine the interplay between AI-driven geopolitical competition and sustainable public administration, proposing a strategic framework to enhance resilience and global competitiveness. It employs a systematic review of interdisciplinary literature on geopolitics and AI governance, supplemented by a SWOT analysis of existing administrative frameworks and comparative case studies of the United States, China, and the European Union. Rapid advancements in artificial intelligence have transformed global policymaking and administrative processes, yet the interplay between AI-driven geopolitical competition and sustainable public administration remains underexplored. We identify five critical factors: big data analytics capability, robust digital infrastructure, specialized human capital, adaptive policymaking, and international collaboration that underpin strategic decision-making, resource allocation, and service delivery. By integrating classical geopolitical theories with contemporary AI applications, our work offers a novel framework addressing emerging ethical, privacy, and cybersecurity challenges. The resulting guidelines provide actionable strategies for public sector leaders to enhance resilience, agility, and global competitiveness.</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1966 The association between related-party transactions and tax planning of listed companies on the Stock Exchange of Thailand 2025-07-21T14:20:14+07:00 Siriarporn Daomanee siriarporn.da@ku.th Kanjana Phonsumlissakul fbuskap@ku.ac.th <p>This study aims to examine the association between related-party transactions and tax planning among listed companies on the Stock Exchange of Thailand, following the implementation of the Act Amendment Revenue Code (No. 47). The data are collected from companies listed on the Stock Exchange of Thailand (SET Index) from 2020 to 2023. The data were analyzed using both descriptive statistics and inferential statistics, including correlation and multiple regression analysis, to examine the relationships between dependent and independent variables. The findings indicate that related-party sales (RPS) are negatively associated with tax planning when measured by the Effective Tax Rate (ETR) and the ratio of corporate income tax expense to operating cash flows (TCFO). The result indicates that an increase in related-party sales corresponds with more aggressive tax planning behavior. Tax planning frequently involves shifting earnings across borders using related-party transactions to take advantage of tax rate differentials between countries. Additionally, the results reveal that firm size positively influences tax planning behavior, measured by ETR, indicating that larger firms tend to reduce their tax planning behavior. Profitability (measured by return on assets) shows a positive relationship with TCFO, implying that firms with higher profitability exhibit lower levels of tax planning behavior. Furthermore, firm growth also demonstrates a positive association with TCFO, which indicates that firms experiencing higher sales growth tend to engage less in tax planning activities. Corporate governance shows a positive relationship with ETR, indicating that firms with strong corporate governance tend to engage in less tax planning. The findings of this study are expected to be beneficial to relevant regulators, as the empirical evidence may inform improvements in tax policy-particularly regarding transactions among related parties-to enhance the effectiveness of future regulatory measures.</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1908 ปัจจัยการควบคุมภายในและทักษะวิชาชีพบัญชีที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ของผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีภายใต้หน่วยงานสนับสนุนภารกิจฝ่ายการเมือง 2025-06-07T21:41:13+07:00 สงกรานต์ พันธ์ผล kokae272@gmail.com ฐิตาภรณ์ สินจรูญศักดิ์ Titaporn.si@spu.ac.th <p>งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยการควบคุมภายในที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีภายใต้หน่วยงานสนับสนุนภารกิจฝ่ายการเมือง 2. เพื่อศึกษาทักษะวิชาชีพบัญชีที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีภายใต้หน่วยงานสนับสนุนภารกิจฝ่ายการเมือง โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีภายใต้หน่วยงานสนับสนุนภารกิจฝ่ายการเมือง 3 หน่วยงาน ได้แก่ 1. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 2. สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา 3. สำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี จำนวน 195 คน ซึ่งใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยเก็บข้อมูลจากประชากรทั้งหมด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม ซึ่งผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ในระดับเหมาะสม ข้อมูลที่ได้ถูกนำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการควบคุมภายในมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีภายใต้หน่วยงานสนับสนุนภารกิจฝ่ายการเมือง โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.06 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.44 อยู่ในเกณฑ์ระดับมาก และทักษะทางวิชาชีพบัญชีมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีภายใต้หน่วยงานสนับสนุนภารกิจฝ่ายการเมือง โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.25 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.40 อยู่ในเกณฑ์ระดับมากที่สุด ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเสริมสร้างระบบการควบคุมภายใน และการพัฒนาทักษะวิชาชีพบัญชีอย่างเป็นระบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรภาครัฐ และเป็นแนวทางที่สามารถนำไปใช้ในการยกระดับคุณภาพการบริหารภาคราชการให้มีความโปร่งใสและเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1952 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการวางแผนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยการใช้สิทธิตามมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ 2025-06-30T18:03:25+07:00 เบญจมาศ เริ่มศรี benjamasremsri@gmail.com กาญจนา พรสัมฤทธิสกุล fbuskap@ku.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการวางแผนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยการใช้สิทธิมาตรการลดหย่อนภาษี เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ คือ บุคคลธรรมดาที่คาดว่าจะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจำนวน 250,000 ราย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เสียภาษีจำนวน 419 คน โดยมีผู้ใช้สิทธิจำนวน 175 คน โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า เพศและความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีความสัมพันธ์เชิงลบกับการใช้สิทธิตามมาตรการลดหย่อน กล่าวคือ เพศหญิงมีแนวโน้มการใช้สิทธิน้อยกว่าเพศชายและผู้ที่มีความรู้ทั่วไปด้านภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากกว่ามีแนวโน้มจะใช้สิทธิลดหย่อนน้อยกว่า ในขณะที่ระดับการศึกษาและทัศนคติของผู้เสียภาษี มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อการใช้สิทธิ กล่าวคือ ผู้ที่มีระดับการศึกษาสูงมีแนวโน้มการใช้สิทธิมากกว่าผู้ที่มีระดับศึกษาที่ต่ำกว่า อีกทั้งผู้ที่มีทัศนคติเชิงบวกต่อการเสียภาษีมีแนวโน้มใช้การสิทธิมากกว่าผู้ที่ทัศนคติเชิงลบต่อการเสียภาษี นอกจากนี้ ผลการศึกษาเฉพาะกลุ่มผู้ใช้สิทธิยังพบว่า อายุ ระดับการศึกษา และแหล่งเงินได้ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับจำนวนเงินในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ในทางตรงกันข้าม รายได้ มีความสัมพันธ์เชิงลบกับจำนวนเงินที่ใช้สิทธิ ผลการศึกษานี้มีประโยชน์ในการสนับสนุนการกำหนดนโยบายภาษีให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้เสียภาษี โดยเฉพาะการสื่อสารสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างชัดเจน เพื่อเพิ่มความเข้าใจและการใช้สิทธิอย่างถูกต้องของประชาชน และเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดมาตรการสนับสนุนการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวต่อไปในอนาคต</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1955 ผลกระทบของสภาพคล่องทางการเงินที่มีต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2025-07-05T16:49:46+07:00 ณัฐวรา จิตรเกต nutvara.272535@gmail.com ฐิตาภรณ์ สินจรูญศักดิ์ Titaporn.si@spu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของสภาพคล่องทางการเงินที่มีต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยรวบรวมข้อมูลจากงบการเงินรายงานประจำปี (56-1) ระหว่างปี พ.ศ. 2560 ถึงปี พ.ศ. 2564 กลุ่มตัวอย่างเป็นอุตสาหกรรม จำนวน 8 กลุ่ม (ยกเว้นกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงินการธนาคาร) บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 241 บริษัท โดยทำการวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ จากการวิเคราะห์ผลกระทบของสภาพคล่องทางการเงินที่มีต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า อัตราส่วนสภาพคล่อง ได้แก่ ระยะเวลาเก็บหนี้ (CP) มีอิทธิพลเชิงบวกต่อความสามารถในการชำระหนี้ ด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (DER) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/2027 ผลกระทบของความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพบัญชีและการใช้เทคโนโลยีทางการบัญชี ที่ส่งผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงินขององค์กร 2025-07-11T12:21:21+07:00 ธนมงคล ราชมณเทียร fluke.thanamongkol23@gmail.com ไกรวิทย์ หลีกภัย dr.kraiwit.leekpai@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพบัญชี ที่ส่งผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงินขององค์กรในประเทศไทย และ 2. เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการบัญชีที่ส่งผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงินขององค์กรในประเทศไทย เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถามออนไลน์ เก็บรวบรวมข้อมูลจากนักนักบัญชีที่ปฏิบัติงานกลุ่มธุรกิจการผลิตขนาดใหญ่ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีการนําระบบสารสนเทศการบัญชีมาใช้ในการปฏิบัติงาน จำนวน 398 คน โดยการศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีในการเลือกตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น โดยการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1. ความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพบัญชี ส่งผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงินขององค์กรในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 2. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการบัญชี ส่งผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงินขององค์กรในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การผสมผสานระหว่างทักษะทางเทคนิคกับความเชี่ยวชาญในวิชาชีพสามารถยกระดับคุณภาพของรายงานทางการเงิน</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1961 ปัจจัยเชิงเหตุที่มีความสัมพันธ์กับสุขภาวะองค์รวมเชิงพุทธของนิสิตระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2025-06-29T10:07:40+07:00 ปุญชรัสมิ์ พรวัฒนศิริกุล jubporn@hotmail.com พระครูภัทรธรรมบัณฑิต ekkapatr.abhi@mcu.ac.th วีรชัย คำธร wirachai.k@dru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับสุขภาวะองค์รวมเชิงพุทธของนิสิตระดับปริญญา 2. เปรียบเทียบปัจจัยเชิงเหตุที่มีความสัมพันธ์กับสุขภาวะองค์รวมเชิงพุทธ และ 3. ตรวจสอบรูปแบบการพัฒนาสุขภาวะองค์รวมเชิงพุทธของนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 327 รูป/คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยเทคนิควิธีสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 รูป/คน ผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า นิสิตมีระดับสุขภาวะองค์รวมเชิงพุทธอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยรวม 3.88) โดยมิติที่สูงที่สุด คือ สุขภาวะทางสังคม (ค่าเฉลี่ย 3.93) และต่ำที่สุด คือ สุขภาวะทางปัญญา (ค่าเฉลี่ย 3.85) ขณะเดียวกัน ระดับความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใน 6 มิติ ก็อยู่ในระดับมากเช่นกัน (ค่าเฉลี่ยรวม 4.00) โดยเฉพาะมิติการเติบโตส่วนบุคคลและการมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (ค่าเฉลี่ย 4.05) การเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า นิสิตไทยมีระดับสุขภาวะองค์รวมเชิงพุทธสูงกว่านิสิตต่างชาติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และนิสิตชั้นปีสูงมีระดับสุขภาวะสูงกว่านิสิตชั้นปีหนึ่งอย่างชัดเจน การวิเคราะห์เชิงสาเหตุชี้ให้เห็นว่า “แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์” และ “พื้นฐานการปฏิบัติธรรม” เป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถทำนายสุขภาวะองค์รวมเชิงพุทธได้อย่างมีนัยสำคัญ การพยากรณ์โดยใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ พบว่า สุขภาวะองค์รวมเชิงพุทธ โดยภาพรวมพบตัวแปรทำนายสำคัญ 2 ตัว ได้แก่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ น้ำหนักทำนาย (β = 0.541) และพื้นฐานการปฏิบัติธรรม (β = 0.375) เปอร์เซ็นต์การทำนาย 73.5% สำหรับผลการตรวจสอบรูปแบบ BAH-MCU Model โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า เป็นรูปแบบที่มีความเหมาะสม ชัดเจน และสามารถประยุกต์ใช้ได้จริง โดยเป็นการบูรณาการหลักพุทธธรรม เช่น ไตรสิกขา และภาวนา 4 ร่วมกับแนวคิดจิตวิทยาเชิงบวก เพื่อส่งเสริมสุขภาวะองค์รวมใน 4 มิติ ได้แก่ สุขภาวะทางกาย สังคม จิต และปัญญา อย่างสมดุลและยั่งยืน</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1919 การพัฒนาบรรจุภัณฑ์และตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์ เพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมของชุมชนตำบลทรัพย์ไพวัลย์ อำเภอเอราวัณ จังหวัดเลย 2025-06-30T18:13:27+07:00 อำภาภัทร์ วสันต์สกุล am_lru@hotmail.com เมทยา อิ่มเอิบ methaya.ime@lru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาวิถีวัฒนธรรมของชุมชนตำบลทรัพย์ไพวัลย์ 2. พัฒนาบรรจุภัณฑ์และตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์ชุมชน ตำบลทรัพย์ไพวัลย์ และ 3. ศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อบรรจุภัณฑ์และตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์ชุมชน ตำบลทรัพย์ไพวัลย์ อำเภอเอราวัณ จังหวัดเลย การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 395 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงและแบบสะดวก เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การที่สมาชิกในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการเลือกรูปแบบบรรจุภัณฑ์ และตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการพัฒนา และนำเสนอความต้องการ รวมถึงการให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อวัตถุประสงค์การวิจัย ส่งผลให้การพัฒนาบรรจุภัณฑ์และตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์ สามารถแสดงถึงอัตลักษณ์ของชุมชนได้ ซึ่งผลการประเมินคุณภาพการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับดีมาก และผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับมาก อีกทั้งผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ได้รับการพัฒนายังทำให้เกิดความเชื่อมโยงเชิงวัฒนธรรม และสามารถสร้างความยั่งยืนในชุมชน</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1954 ส่วนประสมทางการตลาดบริการและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารในจังหวัดอุตรดิตถ์ 2025-06-28T20:30:13+07:00 ณัฐปภัสร์ เลิศวิริยะเดชา natpaphat.lert@gmail.com กุลยา อุปพงษ์ is_nong@yahoo.com ชัชชัย สุจริต csucharit34@gmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นของส่วนประสมทางการตลาดบริการ พฤติกรรมผู้บริโภคและการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารของผู้บริโภค และเพื่อศึกษาอิทธิพลของส่วนประสมทางการตลาดบริการและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารของผู้บริโภคในจังหวัดอุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่พักอาศัยในจังหวัดอุตรดิตถ์และเคยใช้บริการสินเชื่อทางการเงินกับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารระยะเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยสูตรของ Cochran จำนวน 384 คน วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามพื้นที่ทั้ง 9 อำเภอ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลวิจัยพบว่า ส่วนประสมทางการตลาดบริการทั้ง 7 ด้าน มีระดับความคิดเห็นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก สำหรับพฤติกรรมผู้บริโภค ส่วนใหญ่เลือกใช้บริการ บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) เนื่องจากทราบผลการอนุมัติรวดเร็ว ประเภทสินเชื่อ คือ ทะเบียนรถเป็นประกัน วัตถุประสงค์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายอุปโภค บริโภคในครัวเรือน วงเงินรวมน้อยกว่า 100,000 บาท ผ่อนชำระ 1 - 2 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก อัตราการผ่อนชำระน้อยกว่า 5,000 บาทต่อเดือน มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน คือ เล่มทะเบียนรถ โดยผู้ใช้บริการสามารถชำระเงินได้ ณ สำนักงานหลักหรือสาขาใกล้บ้าน และรับรู้ข่าวสารจากคำแนะนำจากบุคคลที่รู้จัก ซึ่งระดับการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อ ในภาพรวมทั้งหมดอยู่ในระดับมาก นอกจากนั้นยังพบว่า ส่วนประสมทางการตลาดบริการ ได้แก่ ด้านพนักงาน ด้านราคา และด้านลักษณะทางกายภาพ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารของผู้บริโภค และพฤติกรรมผู้บริโภค ได้แก่ เหตุผลในการเลือกใช้บริการสินเชื่อ ประเภทสินเชื่อ วัตถุประสงค์ที่เลือกใช้บริการ ระยะเวลาการผ่อนชำระ อัตราการผ่อนชำระต่อเดือน หลักทรัพย์ค้ำประกันวงเงินสินเชื่อ และแหล่งที่มาของข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินเชื่อ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารของผู้บริโภคในจังหวัดอุตรดิตถ์ที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1980 ความสัมพันธ์ระหว่างการวางแผนภาษี นโยบายการจ่ายเงินปันผล และกระแสเงินสด กับการตัดสินใจลงทุน ของบริษัทจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่ม SET100 2025-07-15T11:27:16+07:00 นพสิทธิ์ เพ็ชรพันธ์งาม noppasit_phet@hotmail.com พรรณทิพย์ อย่างกลั่น Phanthip.ya@spu.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการวางแผนภาษี นโยบายการจ่ายเงินปันผลและกระแสเงินสดกับการตัดสินใจลงทุนของบริษัทจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่ม SET100 โดยผู้ศึกษาวิจัยได้ทำการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ จากข้อมูลงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่ม SET 100 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 – 2567 เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษามีจำนวน 77 บริษัท มีข้อมูลทั้งสิ้น 385 ชุด การศึกษาข้อมูลในครั้งนี้ใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา เพื่ออธิบายลักษณะทั่วไปของข้อมูล และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณในการทดสอบสมมติฐาน ผลการวิจัยพบว่า ความแตกต่างระหว่างอัตราภาษีตามหลักบัญชีและภาษีตามหลักเกณฑ์ทางภาษีมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับราคาหลักทรัพย์ สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการวางแผนภาษี ซึ่งอาจนำไปสู่กระแสเงินสดสุทธิที่สูงขึ้น และส่งผลดีต่อการตัดสินใจลงทุนของบริษัท นอกจากนี้ นโยบายการจ่ายเงินปันผลทั้งในรูปของเงินปันผลต่อหุ้นและอัตราเงินปันผลตอบแทน มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อราคาหลักทรัพย์และกำไรต่อหุ้น โดยสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไร ความมั่นคงทางการเงิน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน อีกทั้งในส่วนของกระแสเงินสด พบว่า กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับราคาหลักทรัพย์ แสดงถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท ขณะที่กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุนมีผลเชิงบวกต่อกำไรต่อหุ้น โดยสะท้อนถึงการลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายฐานรายได้ในระยะยาว สรุปได้ว่าการวางแผนภาษี นโยบายการจ่ายเงิน ปันผล และกระแสเงินสด มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET100</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1994 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยชนรุ่นกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ ของข้าราชการ: ศึกษากรณี กรมทรัพย์สินทางปัญญา 2025-07-02T22:02:17+07:00 โรจน์ระวี พิมพ์สิรินาถ 66230190@dpu.ac.th ชนิดา จิตตรุทธะ chanida.jit@dpu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพของข้าราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญา 2. ศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพแต่ละด้าน ของข้าราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญา จำแนกตามชนรุ่น 3. เปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพของข้าราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญา ระหว่างปัจจัยจูงใจกับปัจจัยสุขวิทยา จำแนกตามชนรุ่น และ 4. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยชนรุ่นกับแรงจูงใจ ในการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพของข้าราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามออนไลน์ เก็บรวบรวมข้อมูลจากข้าราชการและพนักงานราชการ จำนวน 218 คน สุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ การวิจัยนี้ผ่านการพิจารณาด้านจริยธรรมแบบยกเว้น สถิติที่ใช้ คือ สถิติเชิงพรรณนาและเชิงอนุมาน กำหนดนัยสำคัญที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นหญิง อายุ 29-44 ปี ปริญญาตรี สังกัดกองสิทธิบัตร และแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพของข้าราชการ กรมทรัพย์สินทางปัญญา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ชนรุ่นต่างกันมีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพแตกต่างกัน ในปัจจัยจูงใจ 3 ด้าน คือ ความสำเร็จ การยอมรับ ลักษณะงานสร้างสรรค์และท้าทาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กลุ่มตัวอย่างอายุ 20-28 ปี มีปัจจัยสุขวิทยาสูงกว่าปัจจัยจูงใจ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยชนรุ่นมีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพในด้านปัจจัยสุขวิทยา โดยเฉพาะด้านเงินเดือนและผลตอบแทน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2025-09-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน