https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/issue/feed วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน 2025-06-08T23:36:57+07:00 จันทร์สิรี บิดร ่jamsdonline@gmail.com Open Journal Systems https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1804 การบริหารจัดการความเสี่ยงและการยอมรับเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์การซื้อประกันภัยรถยนต์ออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร 2025-05-14T13:39:23+07:00 ธรณัส ปิ่นทอง terachai.phintong@gmail.com พัชรี ชยากรโศภิต patchree_ch@rmutto.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นของการบริหารจัดการความเสี่ยง และการยอมรับเทคโนโลยี ที่มีต่ออุปสงค์การซื้อประกันภัยรถยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร 2. เพื่อศึกษาด้านลักษณะทางประชากรที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์การซื้อประกันภัยรถยนต์ออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร จำแนกตามลักษณะทางประชากร และ 3. เพื่อศึกษาการบริหารจัดการความเสี่ยง และการยอมรับเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์การซื้อประกันภัยรถยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามแบบออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกแบบไบนารี ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารจัดการความเสี่ยงโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และการยอมรับเทคโนโลยี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ลักษณะทางประชากรด้านอาชีพ การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านประสิทธิภาพ และด้านความปลอดภัย และการยอมรับเทคโนโลยีด้านความง่ายในการใช้งาน ด้านการใช้งานจริง และด้านการรับรู้ประโยชน์การใช้งาน มีอิทธิพลเชิงบวกต่ออุปสงค์การซื้อประกันภัยรถยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 และ 0.05 ตามลำดับ และการซื้อประกันภัยภาคสมัครใจจึงมีความจำเป็น และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลดความเสี่ยงด้านภาระค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี หากกรณีเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน ส่วนตัวแปรลักษณะทางประชากรด้านอายุ และการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเวลา มีอิทธิพลเชิงลบต่ออุปสงค์การซื้อประกันภัยรถยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 ตามลำดับ ขณะที่ลักษณะทางประชากรด้านเพศ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ตัวแปรการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการเงิน ด้านสังคม และด้านจิตใจ และตัวแปรการยอมรับเทคโนโลยีด้านทัศนคติต่อการใช้งาน และด้านความตั้งใจในการใช้งาน ไม่มีอิทธิพลต่อตัวแปรตามอย่างมีนัยสำคัญ ผลการศึกษาดังกล่าวสามารถนำมาเป็นแนวทางในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการของผู้ประกอบการได้อย่างยั่งยืน</p> 2025-06-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1800 การบริหารจัดการพลังงานและการจัดการนวัตกรรมทางสังคมที่ส่งผลต่อประสิทธิผล การประหยัดพลังงานของโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซีตี้ จังหวัดชลบุรี 2025-05-08T00:31:17+07:00 รุ่งรดิศ คงยั่งยืน rungradit.k@cpu.ac.th สวิตต์ เดชศิระ swiss90fairyland@gmail.com สรพงษ์ ศรีเดช so_sri1979@hotmail.co.th มัจรี สุพรรณ matjaree.s@cpu.ac.th นัยนา รัตนสุวรรณชาติ naiyana.r@cpu.ac.th <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการบริหารจัดการพลังงาน การจัดการนวัตกรรมทางสังคมและประสิทธิผลการประหยัดพลังงาน 2. เพื่อศึกษาการบริหารจัดการพลังงานและการจัดการนวัตกรรมทางสังคม ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการประหยัดพลังงาน ประชากร คือ โรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซีตี้ จังหวัดชลบุรี จำนวน 700 แห่ง ใช้กลุ่มตัวอย่าง 248 แห่ง ผู้ตอบแบบสอบถามคือ ผู้บริหารระดับสูง ประกอบด้วย ผู้จัดการใหญ่ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ หรือผู้บริหารระดับกลาง ประกอบด้วย รองหัวหน้าหน่วยงาน ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากสถานประกอบการ ซึ่งผู้ที่ตอบแบบสอบถามถือว่าเป็นตัวแทนของหน่วยงานนั้น ๆ เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบมาตรวัดประมาณค่า 5 ระดับ ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 10 คน โดยใช้ค่า S-CVI (Scale content validity index) ค่าเฉลี่ย CVI = 9.49 ค่า S-CVI = 0.95 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเกินกว่า 0.9 ทุกข้อ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ Google form สถิติที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1. ระดับการบริหารจัดการพลังงาน การจัดการนวัตกรรมทางสังคมและประสิทธิผลการประหยัดพลังงานอยู่ในระดับสูงทุกด้าน ในภาพรวมการจัดการนวัตกรรมทางสังคมมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าปัจจัยอื่น 2. องค์ประกอบสำคัญของปัจจัยด้านการบริหารจัดการพลังงานและการจัดการนวัตกรรมทางสังคมส่งผลต่อปัจจัยด้านประสิทธิผลการประหยัดพลังงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 โดยสามารถส่งผลได้ร้อยละ 83.7 การวิจัยครั้งนี้สามารถค้นพบแนวทางในการพัฒนาประสิทธิผลการประหยัดพลังงานของโรงงานอุตสาหกรรมได้โดยการพัฒนาตัวแปรที่ค้นพบในครั้งนี้ คือ การทบทวนแนวคิดหลักของนวัตกรรมทางสังคม ผลของการนำความรู้เข้าสู่องค์กร มีการสื่อสารที่เปิดกว้างและโปร่งใส การวิเคราะห์วางแผนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการนำนวัตกรรมทางสังคมเข้าสู่กิจกรรมธุรกิจ</p> 2025-06-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1779 การพัฒนารูปแบบเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามุกดาหาร สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2025-05-15T22:41:28+07:00 ฐิตินันท์ นันทะศรี titinan2514@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามุกดาหาร สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นงานวิจัยและพัฒนา ซึ่งใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานระหว่างวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ และวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยเป็น 5 ระยะ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารโรงเรียน และครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามุกดาหาร ปีการศึกษา 2566-2567 จำนวน 260 คน ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบของรูปแบบมี 4 องค์ประกอบ ดังนี้ ปัจจัยสนับสนุนขอบข่ายงานวิชาการของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระบวนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และคุณภาพผู้เรียน ความเหมาะสมขององค์ประกอบ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ผลการประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนางานวิชาการ ประกอบด้วย 4 ขอบข่ายงานวิชาการ ดังนี้ พัฒนาระบบการนิเทศติดตามและประเมินผล การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พัฒนาหลักสูตร การสอน และกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน และการพัฒนาสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา 3. ผลการพัฒนารูปแบบมีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 4. ผลการนำรูปแบบทดลองใช้ในโรงเรียน จำนวน 7 โรงเรียน ความพึงพอใจของผู้บริหารโรงเรียน และครูในโรงเรียนที่มีต่อรูปแบบ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 5. ผลการพัฒนาคู่มือการใช้รูปแบบเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการมี 7 องค์ประกอบ ดังนี้ คำชี้แจงในการใช้คู่มือ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ ปัจจัยที่สนับสนุน กระบวนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ขอบข่ายงานวิชาการของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และคุณภาพผู้เรียน ความเหมาะสมของคู่มือใช้รูปแบบเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-06-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1765 การปฏิบัติตามนโยบายการสร้างความเชื่อมั่นสาธารณะของข้าราชการธุรการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค สังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด 2025-04-25T23:02:35+07:00 มลิวัลย์ ผายเมืองฮุง pissadarn@snru.ac.th พิศดาร แสนชาติ pisdpc7@gmail.com วศิน เพชรพงศ์พันธุ์ pissadarn@snru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการปฏิบัติตามนโยบายการสร้างความเชื่อมั่นสาธารณะของข้าราชการธุรการสำนักงานคดีศาลสูงภาค สังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด และเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติตามนโยบายการสร้างความเชื่อมั่นสาธารณะของข้าราชการธุรการสำนักงานคดีศาลสูงภาค สังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด ประชากรในการวิจัย คือ ข้าราชการธุรการสำนักงานคดีศาลสูงภาค สังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด จำนวน 358 คน คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตรของ Yamane ได้จำนวน 189 คน และทำการสุ่มแบบชั้นภูมิ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.842 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการปฏิบัติตามนโยบายการสร้างความเชื่อมั่นสาธารณะของข้าราชการธุรการโดยภาพรวมจัดอยู่ในระดับมากที่สุด โดยการปฏิบัติตามนโยบายในด้านประพฤติตนซื่อสัตย์และโปร่งใส และด้านร่วมมือร่วมใจสู่เป้าหมายมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ในขณะที่ด้านคิดและทำเพื่อพัฒนามีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด และ 2. แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติตามนโยบายการสร้างความเชื่อมั่นสาธารณะของข้าราชการธุรการ คือ ส่งเสริมให้ข้าราชการธุรการมีความรู้ที่ทันสมัย มีความคิดสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงาน มีการปรับตัวมีจิตบริการสร้างความศรัทธา มีการจัดการความขัดแย้งในการปฏิบัติงาน และมีการจัดการปัญหาข้อกฎหมาย</p> 2025-06-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so15.tci-thaijo.org/index.php/jamsd/article/view/1837 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีงานทำของบัณฑิตสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2025-05-22T21:17:31+07:00 ธีรพจน์ ภูริโสภณ aj.phaew@gmail.com ยุวเรศ หลุดพา yuvares.l@kkumail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีงานทำของบัณฑิตสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ประกอบด้วยปัจจัยด้านบุคคล ด้านการศึกษา ด้านตลาดแรงงาน และด้านเครือข่ายทางสังคม โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา (GPA) ทักษะภาษาอังกฤษ ทักษะการสื่อสาร ระยะเวลาการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ การแนะแนวอาชีพ และเครือข่ายศิษย์เก่าที่อาจมีผลต่อการมีงานทำของบัณฑิต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาระหว่างปี พ.ศ. 2563–2566 จำนวน 200 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive sampling) และทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา IOC=0.85 และมีค่าความเชื่อมั่น ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach เท่ากับ 0.73 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรที่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อการมีงานทำของบัณฑิต ได้แก่ ระยะเวลาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ GPA ทักษะภาษาอังกฤษ และทักษะการสื่อสาร ส่วนการแนะแนวอาชีพมีค่าสัมประสิทธิ์ที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญเล็กน้อย ขณะที่เครือข่ายศิษย์เก่าไม่มีความสัมพันธ์ทางสถิติที่ชัดเจน แบบจำลองการวิเคราะห์สามารถอธิบายความแปรปรวนของการมีงานทำได้ร้อยละ 52.4 ดังนั้น ควรส่งเสริมระบบฝึกงานที่มีคุณภาพ พัฒนาหลักสูตรทักษะภาษาอังกฤษและการสื่อสารอย่างเป็นระบบ และการจัดกิจกรรมแนะแนวอาชีพอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมศักยภาพของนักศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน</p> 2025-06-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหาร การจัดการ และการพัฒนาที่ยั่งยืน