วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru <p>วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราชกำหนดออก : 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม<br /><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong> : วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ประยุกต์ (ศิลปศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ บริหารธุรกิจ นิเทศศาสตร์ การจัดการสารสนเทศ ครุศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ การจัดการนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น และสาขา อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง)</p> th-TH weerayut_sud@nstru.ac.th (ผศ.ดร.วีระยุทธ สุดสมบูรณ์) journalgraduate@nstru.ac.th (นางสาววรัญญา พรหมมาศ, นายชาญวิทย์ ชัยทอง) Thu, 11 Dec 2025 10:58:37 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมองค์กรกับการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru/article/view/762 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาวัฒนธรรมองค์กรของสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษา<br />การบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมองค์กรกับการบริหาร<br />งานบุคคลของสถานศึกษา ตัวอย่างที่ใช้ศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครูในสถานศึกษา จำนวน 276 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามพื้นที่จัดการศึกษา เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม<br />มาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.67-1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ 1.00 สถิติที่ใช้ศึกษา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์<br />แบบเพียร์สัน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) วัฒนธรรมองค์กรของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านพบว่า มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านความมุ่งประสงค์ขององค์กร ด้านความเอื้ออาทร ด้านการตัดสินใจ ด้านความซื่อสัตย์สุจริต ด้านความไว้วางใจ ด้านการมอบอำนาจ ด้านความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ด้านการยอมรับ ด้านความหลากหลายของบุคลากร และด้านความมีคุณภาพ 2) การบริหาร<br />งานบุคคลของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านพบว่า มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้านการประเมินผล<br />การปฏิบัติงาน ด้านการดำเนินการเกี่ยวกับการเลื่อนขั้นเงินเดือน ด้านการดำเนินการทางวินัยและการลงโทษ และด้านการออกจากราชการ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมองค์กรกับการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 พบว่า ในภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> วสันต์ แจ้งแสง, สาโรจน์ เผ่าวงศากุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru/article/view/762 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 การบริหารงานตามมาตรฐานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 3 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru/article/view/1008 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การบริหารงานตามมาตรฐานการดูแลช่วยเหลือนักเรียน<br />และ 2) เปรียบเทียบการบริหารงานตามมาตรฐานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 3 จําแนกตามเพศ และประสบการณ์การทำงาน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 238 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามพื้นนที่จัดการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ <br />มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.82 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล <br />ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบแบบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว <br />และทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานตามมาตรฐานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาส ในภาพรวมและรายด้านมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านกระบวนการ ด้านนักเรียน และด้านปัจจัย และ 2) การเปรียบเทียบการบริหารงานตามมาตรฐานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาส จำแนกตามเพศ ในภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน สำหรับการเปรียบเทียบการบริหารงานตามมาตรฐานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่จำแนกประสบการณ์ในการทำงาน ในภาพรวม<br />และรายด้านไม่แตกต่างกัน</p> นันทพัทธ์ น้ำวุ้น, มิตภาณี พุ่มกล่อม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru/article/view/1008 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการดำเนินการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru/article/view/1010 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การดำเนินการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียน <br />และ 2) แนวทางการดำเนินการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียนในสถานศึกษา ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 285 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ตามขนาดสถานศึกษา และผู้ให้ข้อมูลสำคัญการสนทนากลุ่ม คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 8 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้<br />ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.67-1.00 <br />และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การดำเนินการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียนในสถานศึกษา ภาพรวมและรายด้านทุกด้านมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ย คือ ด้านการเสริมพลังพัฒนาครู และผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการจัดสวัสดิการ ความปลอดภัย และสร้างขวัญและกำลังใจ ด้านการยกระดับ<br />การจัดการเรียนโดยใช้เทคโนโลยีอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ด้านการพัฒนาคลังสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ แบบเปิดและเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษา ด้านการสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้และสุขภาวะที่ดี<br />ของผู้เรียนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ด้านการออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้ใหม่ ที่ตอบสนองบริบทความเปลี่ยนแปลงและความต้องการของผู้เรียน และด้านสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพระหว่างสถานศึกษาครู ผู้ปกครอง ชุมชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และ 2) แนวทางการดำเนินการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียนในสถานศึกษา มีดังนี้ 1) ด้านการออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้ใหม่<br />ที่ตอบสนองบริบทความเปลี่ยนแปลงและความต้องการของผู้เรียนมีแนวทางโดยสถานศึกษาดำเนินการประเมินความถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียน 2) ด้านการเสริมพลังพัฒนาครู และผู้บริหารสถานศึกษามีแนวทาง<br />โดยสนับสนุนการพัฒนาครูผู้สอน ส่งเสริมให้มีการอบรม เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของตนเอง พัฒนาศักยภาพ ทักษะ และความรู้ ของครูผู้สอน 3) ด้านการสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพระหว่างสถานศึกษา ครู ผู้ปกครอง ชุมชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 4) ด้านการพัฒนาคลังสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้แบบเปิดและเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษามีแนวทางโดยการพัฒนาคลังสื่อดิจิทัลให้มีคุณภาพ สอดคล้อง<br />และครอบคลุม ถูกต้อง 5) ด้านการสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้และสุขภาวะที่ดีของผู้เรียนทั้งสุขภาพกาย<br />และสุขภาพจิตมีแนวทางโดยส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีความหมายให้กับผู้เรียน 6) ด้านการยกระดับการจัดการเรียน<br />โดยใช้เทคโนโลยีอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ และ7) ด้านการจัดสวัสดิการ ความปลอดภัย และสร้างขวัญและกำลังใจมีแนวทางโดยสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา </p> พรพิรุณ เพชรัตน์, นิพนธ์ วรรณเวช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru/article/view/1010 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 การประเมินโครงการส่งเสริมความเป็นเลิศทางวิชาการสู่งานศิลปหัตถกรรมนักเรียน โรงเรียนบ้านปากลง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru/article/view/1306 <p>การค้นคว้าอิสระนี้เป็นการวิจัยเชิงประเมิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต โครงการส่งเสริมความเป็นเลิศทางวิชาการสู่งานศิลปหัตถกรรมนักเรียน โรงเรียนบ้านปากลง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 โดยประยุกต์ใช้รูปแบบการประเมินแบบ CIPP Model ของ สตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam) กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วยนักเรียน <br />จำนวน 171 คน ครูผู้สอน จำนวน 16 คน คณะกรรมการบริหารโครงการ จำนวน 2 คน รวม 189 คน ผู้ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพ จำนวน 5 คนประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา 1 คน ครูฝ่ายวิชาการ 1 คน คณะกรรมการสถานศึกษา 1 คน ตัวแทนนักเรียน 2 คน รวมทั้งสิ้น 5 คน เครื่องมือที่ใช้ เป็นแบบสอบถามความคิดเห็น แบบประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ด้านบริบท ประสบผลความสำเร็จสูงสุด มีระดับการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา ด้านกระบวนการ มีระดับการประเมินอยู่ในระดับมาก ด้านปัจจัยนำเข้า มีระดับการประเมินอยู่ในระดับมาก และด้านผลผลิต มีระดับการประเมินอยู่ในระดับมาก ด้านบริบท พบว่า วัตถุประสงค์ของโครงการสอดคล้องกับความต้องการของผู้เข้าร่วมโครงการ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ส่วนประเด็นที่มีค่าเฉลี่ยของผลการประเมินน้อยที่สุด คือ การกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลา และวิธีดำเนินการมีความเหมาะสม สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง อยู่ในระดับมาก ด้านปัจจัยนำเข้า พบว่า ผู้บริหารเปิดโอกาส ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพครูที่รับผิดชอบจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ส่วนประเด็นที่มีค่าเฉลี่ยของผลการประเมินน้อยที่สุด คือ สื่อการเรียนการสอนมีความทันสมัยเหมาะสมเหมาะสมกับสภาพสังคมในยุคปัจจุบันและสอดคล้องตามยุทธศาสตร์การพัฒนาการจัดการศึกษาของประเทศ อยู่ในระดับมากด้านกระบวนการ พบว่า มีการร่วมกันวางแผนการดำเนินงาน พร้อมทั้งศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการพัฒนาศักยภาพนักเรียนสู่ความเป็นเลิศ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ส่วนประเด็นที่มีค่าเฉลี่ยของผลการประเมินน้อยที่สุด คือ มีการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศที่ใช้ในการพัฒนา เสริมสร้างทักษะทางทัศนศิลป์อย่างเป็นระบบเป็นปัจจุบัน และสะดวกต่อการนำไปใช้วางแผน การดำเนินงานโครงการ อยู่ในระดับมาก<br />ด้านผลผลิต พบว่า ครูมีการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางด้านทักษะทางวิชาการ อย่างต่อเนื่อง และจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ส่วนประเด็นที่มีค่าเฉลี่ยของผลการประเมินน้อยที่สุด คือ นักเรียนสามารถนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถสร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองได้ อยู่ในระดับมาก</p> <p>ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ สรุปได้ว่า สามารถพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ มีทักษะทางด้านวิชาการ นักเรียนสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น หากแต่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา ควรจัดแยกตามช่วงอายุนักเรียน เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ให้เหมาะสมกับช่วงวัย โดยโรงเรียนควรจัดให้มีแหล่งเรียนรู้เพิ่มเติมในโรงเรียน เช่น มุมเรียนรู้ตามอัธยาศัย ห้องภูมปัญญา ห้องวิทยาศาสตร์ เป็นต้น เพื่อให้นักเรียนได้สืบค้นข้อมูลได้เพิ่มเติมด้วยตนเอง ลงมือปฏิบัติในการสืบเสาะความรู้ด้วยตนเองอย่างเหมาะสม จนสามารถนำกลับมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ จนถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้อื่นได้อย่างมีคุณภาพ</p> ทิวทัศน์ บัวจันทร์, รัฐพร กลิ่นมาลี, วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru/article/view/1306 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 การประเมินโครงการแข่งขันความเป็นเลิศทางวิชาการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลท่าสะท้อน จังหวัดสุราษฎร์ธานี https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru/article/view/272 <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินโครงการแข่งขันความเป็นเลิศทางวิชาการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลท่าสะท้อน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยรูปแบบ CIPP Model ในด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาประกอบด้วย ฝ่ายบริหาร จำนวน 2 คน หัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 3 คน ครูผู้สอน จำนวน 3 คน และผู้ปกครองจำนวน 80 คน รวมทั้งหมด 88 คน เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินเป็นแบบสอบถาม จำนวน 2 ฉบับ มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p>ผลการประเมินโครงการพบว่า 1. ด้านบริบท โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.10) ข้อที่มีความเหมาะสมมากที่สุดคือ กิจกรรมและการดำเนินงานของโครงการมีความชัดเจนและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ 2. ด้านปัจจัยนำเข้า พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.00) ข้อที่มีความเหมาะสมมากที่สุด คือ ความมุ่งมั่น ทุ่มเทให้กับการพัฒนาการศึกษาของผู้บริหาร ส่วนความคิดเห็นของผู้ปกครอง พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก ข้อที่มีความเหมาะสมมากที่สุดด้านวัสดุอุปกรณ์อาคารและสถานที่ คือ ความเหมาะสมและเพียงพอของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในโครงการ 3. ด้านกระบวนการ พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.67) ข้อที่มีความเหมาะสมมากที่สุด คือ หลักฐานรายงานการติดตามผลและประเมินผล 4. ด้านผลผลิต พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.46) ข้อที่มีความเหมาะสมมากที่สุด คือ เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการด้านการสังเกต สามารถแยกแยะหรือจำแนกความแตกต่าง ส่วนความคิดเห็นของผู้ปกครอง พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก ข้อที่มีความเหมาะสมมากที่สุด คือ ผู้ปกครองได้รับความสะดวกจากการบริการภายในโครงการ</p> ชิดาวรรณ ใหม่แก้ว, สุจินต์ หนูแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru/article/view/272 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 วิธีการสอนไตรยางศ์แก่ผู้เรียนภาษาไทยชาวต่างประเทศ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru/article/view/702 <p>บทความวิชาการเรื่องวิธีการสอนไตรยางศ์แก่ผู้เรียนภาษาไทยชาวต่างประเทศฉบับนี้เรียบเรียงขึ้น<br />เพื่อนำเสนอวิธีการสอนให้ผู้เรียนภาษาไทยชาวต่างประเทศจำแนกไตรยางศ์หรืออักษรสามหมู่ตามแนวคิด<br />การสร้างคำเพื่อช่วยความจำจากอักษรตัวแรกของแต่ละคำ (Acronym) โดยผนวกความรู้ด้านภาษา 2 <br />ด้านเข้าด้วยกันดังนี้ 1. ความรู้ด้านหลักภาษาไทยซึ่งก็คือการจำแนกอักษรไทยจำนวน 44 ตัวตามพื้นเสียง<br />ของพยัญชนะ ได้แก่ 1) อักษรสูงซึ่งมีพื้นเสียงเป็นเสียงวรรณยุกต์จัตวา 2) อักษรกลางซึ่งมีพื้นเสียงเป็นเสียงวรรณยุกต์สามัญ และ 3) อักษรต่ำซึ่งมีพื้นเสียงเป็นเสียงวรรณยุกต์สามัญ ร่วมกับ 2. ความรู้ด้านภาษาศาสตร์ภาษาไทยซึ่งก็คือการอธิบายเสียงของพยัญชนะต่าง ๆ จากลักษณะของเสียงและฐานกรณ์ ได้แก่ 1) หน่วยเสียงพยัญชนะต้นระเบิด ไม่ก้อง มีลม 2) หน่วยเสียงพยัญชนะต้นระเบิด ไม่ก้อง ไม่มีลม 3) หน่วยเสียงพยัญชนะต้นระเบิด ก้อง ไม่มีลม 4) หน่วยเสียงพยัญชนะต้นเสียดแทรก 5) หน่วยเสียงพยัญชนะต้นครึ่งสระ 6) หน่วยเสียงพยัญชนะต้นนาสิก 7) หน่วยเสียงพยัญชนะต้นข้าง และ 8) หน่วยเสียงพยัญชนะรัว</p> <p>ผู้สอนใช้หน่วยเสียงต่าง ๆ จากถ้อยคำภาษาอังกฤษ คือ ketchup fish ในการสอนอักษรสูงและอักษรต่ำคู่ ถ้อยคำ good job ในการสอนอักษรกลาง และถ้อยคำ yawning lemur ในการสอนอักษรต่ำเดี่ยว <br />ซึ่งง่ายต่อการจดจำในแง่มุมของไตรยางศ์ คู่ขนานไปกับความรู้เรื่องลักษณะและหน้าที่ของหน่วยเสียงต่าง ๆ <br />ในแง่มุมของสัทศาสตร์ อันนำไปสู่การเรียนการสอนสระเสียงสั้นและสระเสียงยาวซึ่งสัมพันธ์กับคำเป็น<br />และคำตายต่อไปได้ในอนาคต</p> จอมขวัญ สุทธินนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/gsjnstru/article/view/702 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700