วารสาร ปัญญาลิขิต
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ
<p><strong>วารสาร ปัญญาลิขิต</strong></p> <p> มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการ วารสารมุ่งเน้นบทความทางด้านพุทธศาสนาสังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ การท่องเที่ยว ศิลปกรรมด้านการศึกษา นวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมการบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน ศิลปศาสตร์ และการศึกษาเชิงประยุกต์ เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p> ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิแบบ Double-blind จำนวน 3 ท่าน เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษโดยรับพิจารณาต้นฉบับของบุคคลทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย กำหนดตีพิมพ์ปีละ 4 ฉบับ (ราย 3 เดือน)</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม</li> <li>ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน</li> <li>ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม</li> </ul>
พระสุภกิจ สุปญฺโญ,ดร.
th-TH
วารสาร ปัญญาลิขิต
3056-9036
-
ความภักดีและการรับรู้ของนักท่องเที่ยวชาวจีน ต่อแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติของเมืองกุ้ยหลิน ประเทศจีน
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/2330
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาระดับการรับรู้ของนักท่องเที่ยวชาวจีนต่อแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติของเมืองกุ้ยหลิน และ (2) ศึกษาระดับความภักดีของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีต่อแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติของเมืองกุ้ยหลิน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับการรับรู้ของนักท่องเที่ยวชาวจีนต่อแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติของเมืองกุ้ยหลินในภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.05 โดยเฉพาะในด้านประสบการณ์การท่องเที่ยว และความพึงพอใจ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 4.08 เท่ากัน รองลงมาคือ ด้านภาพลักษณ์ มีค่าเฉลี่ย 4.05 คุณภาพการบริการ มีค่าเฉลี่ย 4.04 และคุณค่าที่รับรู้ มีค่าเฉลี่ย 4.00 (2) ระดับความภักดีของนักท่องเที่ยว อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.05 โดยมิติการแนะนำแหล่งท่องเที่ยวและทัศนคติเชิงบวก มีค่าเฉลี่ย 4.07 ส่วนความภักดีเชิงพฤติกรรม เช่น การกลับมาเยือนซ้ำ มีค่าเฉลี่ย 4.01</p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ คือ การรับรู้เชิงบวกต่อแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติของเมืองกุ้ยหลิน โดยเฉพาะด้านภาพลักษณ์ เอกลักษณ์ ความพึงพอใจ และประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ได้รับ อาจส่งผลต่อการสร้างทัศนคติในเชิงบวกและเพิ่มคุณค่าที่นักท่องเที่ยวรับรู้ ขณะเดียวกันความภักดีของนักท่องเที่ยวในมิติการบอกต่อและการมีทัศนคติเชิงบวก การยกระดับประสบการณ์และการรับรู้เชิงบวกถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างและรักษาความภักดีของนักท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน</p>
เยี่ยนเฟย จ้าว
อัญชลี ชัยศรี
สำเริง ไกยวงค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-12-16
2025-12-16
4 4
1
16
-
ปัจจัยสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ของเจเนอเรชั่นวายในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/2209
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยทางประชากรศาสตร์ที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของเจเนอเรชั่นวายในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานเจเนอเรชั่นวายในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคคลในเจเนอเรชั่นวาย (เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2524–2549) ที่ประกอบอาชีพอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ได้มาจากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม และใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) เพื่อทดสอบสมมติฐาน ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ในการพัฒนานโยบายหรือแนวทางการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากรในเจเนอเรชั่นวายอย่างมีประสิทธิผล <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างที่มีปัจจัยประชากรศาสตร์ ด้านระดับการศึกษาแตกต่างกัน ด้านอาชีพแตกต่างกัน ด้านรายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกัน และด้านระยะเวลาในการทำงานแตกต่างกัน มีประสิทธิภาพในการทำงานแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ปัจจัยสภาพแวดล้อมการทำงาน ประกอบด้วย ด้านความมั่นคงปลอดภัย ด้านโอกาสก้าวหน้าในการทำงาน ด้านองค์การและการจัดการ ด้านคุณลักษณะเฉพาะของงาน ด้านลักษณะทางสังคมของงาน ด้านการติดต่อสื่อสาร ด้านสภาพการทำงาน และด้านสวัสดิการหรือผลประโยชน์ มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการทำงานของเจเนอเรชั่นวายในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
รภัสสนันท์ ปั้นศรีทอง
ปิยภรณ์ ชูชีพ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-12-16
2025-12-16
4 4
17
31
-
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/2363
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำของนักเรียนและ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 25 โรงเรียน กำหนดผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 6 คน ประกอบด้วย ครูที่ปรึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 รวมทั้งสิ้น 150 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ฐานนิยม การวิเคราะห์ดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา <br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ภาวะผู้นำของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี ที่มีดัชนีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด ได้แก่ การเสริมสร้างกำลังใจ รองลงมา คือ การเป็นต้นแบบนำทาง การสร้างแรงบันดาลใจในการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน การท้าทายกระบวนการ และการมอบอำนาจให้ผู้อื่นสามารถปฏิบัติงาน ตามลำดับ<br />2. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี ดังนี้<br />2.1 การวางแผน ผู้บริหารควรวิเคราะห์บริบท กำหนดเป้าหมาย และออกแบบกิจกรรมพัฒนาภาวะผู้นำอย่างเป็นระบบ<br />2.2 การนำแผนไปสู่การปฏิบัติ ผู้บริหารควรจัดกิจกรรมต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วม และใช้กระบวนการโค้ชชิ่งเพื่อพัฒนาทักษะผู้นำ<br />2.3 การประเมินผล ผู้บริหารควรใช้วิธีที่หลากหลาย สังเกตพฤติกรรมและผลการเปลี่ยนแปลงของนักเรียน เพื่อนำผลไปปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง</p>
ณัทวดี สินสุข
สุริยะ รูปหมอก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-12-16
2025-12-16
4 4
32
49
-
การเปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านและความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีการสอนแบบโครงสร้างระดับยอดร่วมกับกิจกรรมโคลซ
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/2301
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีการสอนแบบโครงสร้างระดับยอดร่วมกับกิจกรรมโคลซระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และเปรียบเทียบหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีการสอนแบบโครงสร้างระดับยอดร่วมกับกิจกรรมโคลซระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และเปรียบเทียบหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/8 โรงเรียนเมืองพญาแลวิทยา จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงสร้างระดับยอดจำนวน 4 แผน 2) แบบทดสอบความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ<br />และ 3) แบบทดสอบความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br />ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที ดำเนินการทดลอง รวมทั้งสิ้น 12 คาบ ผลการวิจัยพบว่า <br />1) ความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีการสอนแบบโครงสร้างระดับยอดร่วมกับกิจกรรมโคลซหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีการสอนแบบโครงสร้างระดับยอดร่วมกับกิจกรรมโคลซหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
เสาวภา เกียรติชัยภูมิ
สายสุนีย์ เติมสินสุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-12-16
2025-12-16
4 4
50
64
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/2620
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) ระดับความเป็นโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) กับโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) และ 4) สร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) ประชากร คือ ผู้บริหารและครูโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 จำนวน 1,591 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตาม Krejcie & Morgan ได้ผู้บริหารและครู จำนวน 310 คน ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้น จำแนกตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ คือแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบนำเข้าตัวแปรแบบเป็นขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความเป็นโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) ภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 อันดับแรก ได้แก่ ด้านการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้ ด้านการทำงานร่วมกันแบบร่วมมือรวมพลังและเป็นประชาธิปไตย และด้านวิสัยทัศน์ร่วมกัน ตามลำดับ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ปัจจัยด้านครู ปัจจัยด้านผู้บริหาร และปัจจัยด้านชุมชน ตามลำดับ 3) ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) กับโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) สรุปได้ว่า ปัจจัยด้านผู้บริหาร ปัจจัยด้านครู และปัจจัยด้านชุมชน มีความสัมพันธ์ทางบวกกับโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) ผลการสร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) สามารถเรียงลำดับได้ ดังนี้ 1) ปัจจัยด้านชุมชน ด้านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ 2) ปัจจัยด้านครู ด้านการพัฒนาวิชาชีพ 3) ปัจจัยด้านครู ด้านการทำงานแบบร่วมมือ 4) ปัจจัยด้านผู้บริหาร ด้านนโยบาย และ 5) ปัจจัยด้านชุมชน ด้านการสนับสนุนทรัพยากร โดยตัวแปรทั้ง 5 ตัว รวมกันสามารถพยากรณ์โรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 ได้ร้อยละ 79.90 ได้สมการพยากรณ์ ในรูปคะแนนดิบ ดังนี้ = .250 + .277(X<sub>33</sub>) + .236(X<sub>22</sub>) + .174(X<sub>23</sub>) + .127(X<sub>13</sub>)<br />+ .132(X<sub>32</sub>) หรือในรูปคะแนนมาตรฐาน = .315(Z<sub>33</sub>) + .250(Z<sub>22</sub>) + .209(Z<sub>23</sub>) + .173(Z<sub>13</sub>) + .183(Z<sub>32</sub>)</p>
ศิริเลิศ ซิ้มเทียม
ปุณณิฐฐา มาเชค
สุเมธ งามกนก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-12-16
2025-12-16
4 4
65
82
-
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 1
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/2310
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 1 และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 1 โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 1 จำนวน 73 แห่ง กำหนดผู้ให้ข้อมูลแห่งละ 2 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน รวมทั้งสิ้น 146 คน ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง 3) แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ฐานนิยม ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา <br />ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 1 ที่มีดัชนีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด ได้แก่ ด้านการแสดงออกถึงความยุติธรรม รองลงมาคือ ด้านการเคารพให้เกียรติผู้อื่น ด้านการให้บริการคนอื่น ด้านการยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต และด้านการเสริมสร้างความร่วมมือในกลุ่ม ตามลำดับ<br />แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 1 สามารถสรุปได้ดังนี้ ด้านการแสดงออกถึงความยุติธรรม ผู้บริหารสถานศึกษาควรบริหารงานอย่างเป็นระบบ โปร่งใส เป็นธรรม รับฟังความคิดเห็น ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ และติดตามประเมินผลเพื่อพัฒนางานให้สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล ด้านการเคารพให้เกียรติผู้อื่น ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีภาวะผู้นำที่เปิดกว้าง เคารพความแตกต่าง รับฟังอย่างจริงใจ สร้างบรรยากาศที่สุภาพ และมีระบบประเมินพฤติกรรมเพื่อพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และด้านการให้บริการคนอื่น ผู้บริหารสถานศึกษาควรมุ่งประโยชน์ส่วนรวม วางระบบบริการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นแบบอย่างในการให้บริการ และประเมินผลเพื่อนำไปปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p>
ฐิติมา ชวยกระจ่าง
ชวน ภารังกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-12-16
2025-12-16
4 4
83
97
-
แนวทางการพัฒนาการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/2327
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 จำนวน 91 แห่ง กำหนดผู้ให้ข้อมูลแห่งละ 2 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา และครูฝ่ายบริหารงานบุคคล รวมทั้งสิ้น 182 คน ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง 3) แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ฐานนิยม ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า<br />1. การจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 ที่มีดัชนีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด ได้แก่ ด้านการยอมให้ รองลงมา คือ ด้านการประนีประนอม ด้านการร่วมมือ ด้านการหลีกเลี่ยง และด้านการเอาชนะ ตามลำดับ<br />2. แนวทางการพัฒนาการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 ดังนี้ <br />2.1 ด้านการวางแผน ผู้บริหารควรใช้กระบวนการวิเคราะห์ SWOT เพื่อแยกแยะประเด็นสำคัญและไม่สำคัญ กำหนดขอบเขตการยอมให้ที่ไม่กระทบต่อเป้าหมายหลักของสถานศึกษา วิเคราะห์ผลประโยชน์ของทุกฝ่าย และกำหนดแผนหรือเป้าหมายร่วมที่ทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้<br />2.2 ด้านการนำไปใช้ ผู้บริหารควรใช้หลักจิตวิทยาและการสื่อสารอย่างเปิดเผย รับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายอย่างจริงใจ ส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่เป็นกันเอง ยืดหยุ่น และเป็นธรรม ใช้บุคคลกลางเพื่อสร้างความยุติธรรม เปิดโอกาสให้บุคลากรทุกฝ่ายร่วมวิเคราะห์ วางแผน และติดตามผลร่วมกัน<br />2.3 ด้านการประเมินผล ผู้บริหารควรติดตามและประเมินผลการจัดการความขัดแย้งในทุกด้านอย่างเป็นระบบ เพื่อวัดผลกระทบและตรวจสอบความต่อเนื่องของข้อตกลง พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายร่วมสะท้อนผลและปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง</p>
จินตนา เรียบร้อย
ชวน ภารังกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-12-16
2025-12-16
4 4
98
113