https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/issue/feed วารสาร ปัญญาลิขิต 2025-05-26T14:15:47+07:00 พระสุภกิจ สุปญฺโญ, ดร. vi10.aquare333@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสาร ปัญญาลิขิต</strong></p> <p> มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการ วารสารมุ่งเน้นบทความทางด้านพุทธศาสนาสังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ การท่องเที่ยว ศิลปกรรมด้านการศึกษา นวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมการบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน ศิลปศาสตร์ และการศึกษาเชิงประยุกต์ เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p> ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิแบบ Double-blind จำนวน 3 ท่าน เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษโดยรับพิจารณาต้นฉบับของบุคคลทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย กำหนดตีพิมพ์ปีละ 4 ฉบับ (ราย 3 เดือน)</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม</li> <li>ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน</li> <li>ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม</li> </ul> https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/1763 แนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี 1 (ดอนสักผดุงวิทย์) 2025-05-03T21:34:05+07:00 วุฒิชัย ภาโอภาส phaophat403@gmail.com จรัญญา เทพพรบัญชากิจ Phaophat403@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาในการบริหารงานบุคคล และ<br />2) เสนอแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี 1 (ดอนสักผดุงวิทย์) โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารและครูจำนวน 68 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริหารมีการบริหารงานบุคคลตามหลักธรรมาภิบาลอยู่ในระดับ “มาก” <br />ทุกด้าน โดยหลักความคุ้มค่าได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงสุด (4.43) รองลงมาคือหลักความรับผิดชอบ (4.39) หลักนิติธรรมและคุณธรรม (4.37) หลักความโปร่งใส (4.33) และหลักการมีส่วนร่วม (4.30)</p> <p>แนวทางการพัฒนาที่ได้จากการสนทนากลุ่ม ได้แก่ การส่งเสริมความรู้ด้านกฎหมายให้บุคลากร (หลักนิติธรรม) การกำหนดแนวปฏิบัติที่อิงคุณธรรมและเปิดรับข้อเสนอแนะ (หลักคุณธรรม) การเปิดเผยข้อมูลอย่างทั่วถึงและเป็นระบบ (หลักความโปร่งใส) การมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกระดับในกระบวนการบริหาร (หลักการมีส่วนร่วม) การกำหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจนและประเมินผลที่ยุติธรรม (หลักความรับผิดชอบ) และการวางแผนใช้ทรัพยากรบุคคลให้เกิดประโยชน์สูงสุด (หลักความคุ้มค่า)</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/1771 การศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี 1 (ดอนสักผดุงวิทย์) 2025-05-01T20:46:07+07:00 เกตน์สิรี เหน็บบัว ketsiree.n31@gmail.com ดารณีย์ พยัคฆ์กุล ketsiree.n31@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี 1 (ดอนสักผดุงวิทย์) (2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามเพศ อายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน และ (3) ศึกษาข้อเสนอแนะในการพัฒนา โดยใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 69 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.55, S.D = .215) โดยทุกด้านมีค่าเฉลี่ยในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ การทำงานเป็นทีม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.56), วิสัยทัศน์ ความยืดหยุ่น และจินตนาการ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.55) ส่วนแรงจูงใจมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.54) แต่ยังอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p>เมื่อเปรียบเทียบตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยกลุ่มเพศชายรับรู้ภาวะผู้นำสูงกว่ากลุ่มอื่น ส่วนปัจจัยอื่นไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ</p> <p>ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและปฏิบัติ ได้แก่ การส่งเสริมการทำงานเป็นทีม การพัฒนาวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ การใช้เทคโนโลยีสนับสนุนภาวะผู้นำ การพัฒนาแรงจูงใจอย่างหลากหลาย และการจัดทำคู่มือภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเป็นต้นแบบให้กับผู้บริหารรุ่นใหม่และสามารถปรับใช้ในโรงเรียนที่มีบริบทแตกต่างกันได้</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/1709 แนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการระบบบริหารงานงบประมาณ ของโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวคิดทักษะการปรับตัว 2025-04-16T21:06:17+07:00 อุไรวรรณ พูลทรัพย์ uraiwan6409@gmail.com จรัญญา เทพพรบัญชากิจ Uraiwan6409@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาการบริหารจัดการระบบบริหารงานงบประมาณของโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวคิดทักษะการปรับตัว 2. เพื่อสร้างแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการระบบบริหารงานงบประมาณของโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวคิดทักษะการปรับตัว โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดทักษะการปรับตัวเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่การวิจัยคือโรงเรียนเกาะพะงันศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร กลุ่มตัวอย่าง ทั้งหมด 46 คน ได้แก่ ผู้อำนวยการกลุ่มบริหารงานการเงินและสินทรัพย์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร จำนวน 1 คน ผู้อำนวยการหน่วยตรวจสอบภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร จำนวน 1 คน ผู้อำนวยการโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา จำนวน 1 คน รองผู้อำนวยการโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา จำนวน 2 คน คณะครูและบุคลากรโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา จำนวน 41 คน โดยใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ <br />1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร่วมกับการวิเคราะห์เนื้อหาจากการสัมภาษณ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการระบบบริหารงานงบประมาณ ของโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวคิดทักษะการปรับตัว การบริหารจัดการระบบบริหารงานงบประมาณ รวม 5 ด้าน โดยรวม พบว่ามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.57 แปลผลว่าสภาพปัจจุบันและปัญหา อยู่ในระดับมากที่สุด สำหรับประเด็นย่อยพบว่าค่าเฉลี่ยความคิดเห็นมีค่าตั้งแต่ 4.51 ถึง 4.63 แปลผลว่า สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยความคิดเห็นสูงสุด คือ ด้าน <br />2 งานบัญชี และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้าน 4 งานแผนและควบคุมภายใน ตามลำดับ และสภาพการปรับตัวในการบริหารจัดการระบบบริหารงานงบประมาณของโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา ด้านการปรับตัวด้านการปรับตัวระหว่างกัน โดยรวม พบว่ามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.38 แปลผลว่าสภาพการปรับตัวอยู่ในระดับมาก สำหรับประเด็นย่อยพบว่า ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นมีค่าตั้งแต่ 4.17 ถึง 4.52 แปลผลว่าสภาพการปรับตัวอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด โดยข้อที่มีค่าเฉลี่ยความคิดเห็นสูงสุด มี 2 ข้อ คือข้อ 4.2 ท่านได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวในการทำงาน และ ข้อ 4.5 ท่านมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ กับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม และข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ข้อ 4.3 ท่านสามารถจัดการกับปัญหาความขัดแย้งของบุคลากรในองค์กรได้อย่างสร้างสรรค์ ตามลำดับ</p> <p>แนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการระบบบริหารงานงบประมาณของโรงเรียนเกาะพะงันศึกษาอำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวคิดทักษะการปรับตัว ที่ได้จากการสัมภาษณ์ ได้แก่ การสนับสนุนจากสำนักงานเขตพื้นที่ในด้านการจัดส่งบุคลากรผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาเชิงลึกเสนอให้โรงเรียนมีคู่มือปฏิบัติงานด้านงบประมาณแบบเฉพาะของตนเองที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียน มีการจัดอบรมต่อเนื่องเกี่ยวกับระบบบัญชี การเงิน และการใช้เทคโนโลยีควรมีเจ้าหน้าที่ประจำด้านสารสนเทศหรือจัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลภายใน” เพื่อสนับสนุนงานงบประมาณปรับใช้ระบบดิจิทัล เช่น โปรแกรมจัดการบัญชีและติดตามสถานะการใช้จ่าย เพื่อความโปร่งใส ส่งเสริมให้มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างโรงเรียนเพื่อแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดี</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/1734 พฤติกรรมการบริโภคอาหารแช่แข็งของประชาชนในจังหวัดชัยภูมิ 2025-04-28T13:25:43+07:00 มารุต ชัยเพชร anchaleechaisri@gmail.com สำเริง ไกยวงค์ anchaleechaisri@gmail.com อัญชลี ชัยศรี anchaleechaisri@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารแช่แข็งของประชาชนในจังหวัดชัยภูมิ และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการตลาดที่มีผลต่อการบริโภคอาหารแช่แข็งของประชาชนในจังหวัดชัยภูมิเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรคือ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดชัยภูมิจำนวน 1,113,378 คน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริโภคอาหารแช่แข็งในจังหวัดชัยภูมิ จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ ANOVA ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 พฤติกรรมการบริโภคอาหารแช่แข็งของประชาชนในจังหวัดชัยภูมิ พบว่า ความถี่ในการบริโภค 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ประเภทอาหารแช่แข็งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ อาหารทะเลแช่แข็ง (26.25%) เหตุผลในการเลือกบริโภคอาหารแช่แข็ง คือความสะดวกสบาย (37.50%)</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ปัจจัยด้านการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจบริโภคอาหารแช่แข็ง พบว่า ด้านผลิตภัณฑ์ (= 4.25, SD = 0.85) ด้านราคา (= 3.85, SD = 0.92) ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (= 3.72, SD = 0.88) และด้านการส่งเสริมการตลาด (= 3.45, SD = 1.02) ตามลำดับ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์เป็นปัจจัยด้านการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจบริโภคมากที่สุด รองลงมาคือ ราคา และช่องทางการจัดจำหน่าย ในขณะที่การส่งเสริมการตลาดมีอิทธิพลน้อยที่สุด ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ และรายได้ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารแช่แข็งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ ปัจจัยด้านการตลาด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ราคา และช่องทางการจัดจำหน่าย มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนการส่งเสริมการตลาดไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญต่อพฤติกรรมการบริโภค</p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ คือแบบจำลองที่แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมการบริโภคอาหารแช่แข็งได้รับอิทธิพลจากทั้งปัจจัยประชากรศาสตร์ (เพศ อายุ อาชีพ รายได้) และส่วนประสมทางการตลาด (ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด) สามารถนำไปใช้ในการวางแผนการตลาด พัฒนาผลิตภัณฑ์ และกำหนดกลยุทธ์การสื่อสารให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กึ่งเมืองกึ่งชนบทที่กำลังมีพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงตามบริบทเศรษฐกิจและสังคม</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/1883 ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครนายก 2025-05-26T14:15:47+07:00 รุสิตา เฮงน้อย 66920268@go.buu.ac.th ปุณณิฐฐา มาเชค 66920268@go.buu.ac.th สุเมธ งามกนก 66920268@go.buu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 2. เพื่อศึกษาระดับปัจจัยภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ความคิดสร้างสรรค์ และการสนับสนุนจากผู้บริหาร 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ความคิดสร้างสรรค์ และการสนับสนุนจากผู้บริหารกับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 และ 4. เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร และครูสังกัด สพป.นครนายก จำนวน 291 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วน 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (M) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน การวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน<br />ผลการศึกษา พบว่า 1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ความคิดสร้างสรรค์ และการสนับสนุนจากผู้บริหาร 2. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ความคิดสร้างสรรค์ และการสนับสนุนจากผู้บริหาร โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 3. ภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลง ความคิดสร้างสรรค์ และการสนับสนุนจากผู้บริหารมีความสัมพันธ์ทางบวกกับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับค่อนข้างสูง 4. ตัวแปรพยากรณ์ในภาพรวมสามารถพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 โดยเรียงลำดับ ดังนี้ การสนับสนุนจากผู้บริหาร (x_3) ความคิดสร้างสรรค์ (x_2) และภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง (x_1) สามารถพยากรณ์ร่วมกันได้ร้อยละ 25.60 ได้สมการพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 ในรูปคะแนนดิบ ดังนี้</p> <p>Y ̂= 0.402(x<sub>3</sub>) + 0.380 (x<sub>2</sub>) + 0.184 (x<sub>1</sub>) หรือสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน Z ̂= 0.325 (z<sub>3</sub>) + 0.284 (z<sub>2</sub>) + 0.178 (z<sub>1</sub>)</p> 2025-06-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/1662 องค์ประกอบการท่องเที่ยว ส่วนประสมทางการตลาด และการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ในจังหวัดอุตรดิตถ์ 2025-04-01T09:12:35+07:00 ณัฐพสิษฐ์ พิมพากรณ์ natcha_sa@rmutto.ac.th นัชชา แสวงพรรค natcha_sa@rmutto.ac.th ธนพล ถาวรศิลป์ ืnatcha_sa@rmutto.ac.th สุพิชฌาย์ เพ็ชรสดใส natcha_sa@rmutto.ac.th นริส อุไรพันธ์ natcha_sa@rmutto.ac.th สุภิญญา แย้มรัตน์ natcha_sa@rmutto.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับองค์ประกอบการท่องเที่ยว ส่วนประสมทางการตลาด การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในจังหวัดอุตรดิตถ์ และ 2) วิเคราะห์ปัจจัยองค์ประกอบการท่องเที่ยว ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และปัจจัยการสื่อสารการตลาดที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัย คือ จังหวัดอุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 443 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบจำเพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับความคิดเห็นด้านองค์ประกอบการท่องเที่ยว ส่วนประสมทางการตลาด การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน อยู่ในระดับมาก โดยองค์ประกอบการท่องเที่ยวมีระดับความคิดเห็นมากที่สุด รองลงมาได้แก่ส่วนประสมทางการตลาด การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตามลำดับ และ 2) ปัจจัยด้านองค์ประกอบการท่องเที่ยว ส่วนประสมทางการตลาดและการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ส่งผลต่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในจังหวัดอุตรดิตถ์<br />ข้อค้นพบจากงานวิจัยพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้แก่ ความเป็นมิตรของคนในพื้นที่ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ และการโฆษณา ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการบริหารจัดการพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้จังหวัดอุตรดิตถ์สามารถนำผลการวิจัยนี้ไปใช้ในการปรับปรุงนโยบายการจัดการท่องเที่ยวเชิงพื้นที่ เพื่อยกระดับความยั่งยืนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต