https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/issue/feed
วารสาร ปัญญาลิขิต
2025-09-21T22:24:32+07:00
พระสุภกิจ สุปญฺโญ, ดร.
vi10.aquare333@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสาร ปัญญาลิขิต</strong></p> <p> มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการ วารสารมุ่งเน้นบทความทางด้านพุทธศาสนาสังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ การท่องเที่ยว ศิลปกรรมด้านการศึกษา นวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมการบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน ศิลปศาสตร์ และการศึกษาเชิงประยุกต์ เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p> ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิแบบ Double-blind จำนวน 3 ท่าน เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษโดยรับพิจารณาต้นฉบับของบุคคลทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย กำหนดตีพิมพ์ปีละ 4 ฉบับ (ราย 3 เดือน)</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม</li> <li>ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน</li> <li>ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม</li> </ul>
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/2180
การเสพติดเกมออนไลน์ในยุคดิจิทัล: ปัจจัย ผลกระทบ และโมเดล SFSC เพื่อการป้องกันและแก้ไขเชิงจิตวิทยา
2025-08-22T09:39:49+07:00
เจตนิพัทธ์ จิตติหิรัณย์กุล
kwanmikung@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนวรรณกรรมและนำเสนอแนวคิดเชิงบูรณาการเกี่ยวกับการเสพติดเกมออนไลน์ในยุคดิจิทัล ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) รับรองว่าเป็นภาวะสุขภาพจิตที่สำคัญ ทั้งนี้บทความได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยทางจิตวิทยาทั้งด้านส่วนบุคคล สังคม-ครอบครัว และสิ่งแวดล้อมดิจิทัล ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนพฤติกรรมเสพติด อีกทั้งยังระบุผลกระทบต่อการจัดการเวลา บทบาททางสังคม การศึกษา รวมถึงสุขภาพกาย จิตใจ และความไม่เสถียรทางอารมณ์ ซึ่งปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงมากขึ้นจากข้อมูลสถิติการใช้โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตที่สูงในเด็กและเยาวชนไทย ดังนั้นเพื่อรับมือปัญหานี้ผู้วิจัยจึงเสนอ "โมเดล SFSC (Student, Family, School, Community)" ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดเชิงองค์รวมสำหรับการป้องกันและแก้ไขเชิงจิตวิทยาแบบบูรณาการ โดยโมเดลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืน ผ่านการเน้นย้ำบทบาทร่วมกันของนักเรียน ครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ในการส่งเสริมสุขภาพจิตและพัฒนาการที่สมดุล เพื่อให้เด็กและเยาวชนสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านลบได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-09-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/1913
ผลกระทบของการมีความรับผิดชอบต่อสังคมต่อพฤติกรรมการเป็นพนักงานที่ดี: หลักฐานจากธุรกิจโรงแรมในมณฑลกวงซี ประเทศจีน
2025-06-07T15:26:54+07:00
จินเว่ย จู
wearetheworldsong@gmail.com
สำเริง ไกยวงค์
wearetheworldsong@gmail.com
อัญชลี ชัยศรี
wearetheworldsong@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของกลยุทธ์ความรับผิดชอบต่อสังคมที่มีต่อพฤติกรรมการเป็นพนักงานที่ดี โดยประยุกต์ใช้กระบวนการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือพนักงานโรงแรมในเมืองหลิวโจว มณฑล กวงซี จำนวน 257 คน ซึ่งได้รับการเลือกโดยใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สมการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่าความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจโรงแรมมีการดำเนินงานในระดับมากทั้ง<br />5 ด้าน และพบว่าพนักงานมีพฤติกรรมการเป็นพนักงานที่ดีในระดับมากทุกด้าน ผลจากการทดสอบสมมติฐานพบว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมมีผลกระทบเชิงบวกต่อพฤติกรรมการเป็นพนักงานที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ (B = 0.314, p < 0.01) โดยเฉพาะความรับผิดชอบต่อพนักงาน (B = 0.652, p < 0.01) <br />และความรับผิดชอบต่อชุมชน (B = 0.470, p < 0.01) อย่างไรก็ตาม ความรับผิดชอบต่อผู้จำหน่ายวัตถุดิบมีผลกระทบเชิงลบต่อพฤติกรรมการเป็นพนักงานที่ดี (B = -0.698, p < 0.01) ส่วนความรับผิดชอบต่อลูกค้าและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ (p > 0.05) ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าผู้ประกอบการโรงแรมควรมุ่งเน้นการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ด้านความรับผิดชอบต่อพนักงานและด้านความรับผิดชอบต่อชุมชน เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการเป็นพนักงานที่ดีในอุตสาหกรรมโรงแรม นอกจากนี้ ผลการวิจัยได้ช่วยเติมเต็มองค์ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์ความรับผิดชอบต่อสังคมกับพฤติกรรมการเป็นพนักงานที่ดีในบริบทอุตสาหกรรมโรงแรมซึ่งยังมีงานวิจัยที่ศึกษาค่อนข้างจำกัด</p>
2025-09-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/2043
การจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี
2025-07-14T11:31:20+07:00
ประวิน แก้วดวงแสง
thanachporn2523@gmail.com
ตระกูล จิตวัฒนากร
thanachporn2523@gmail.com
วงศ์วิศว์ หมื่นเทพ
thanachporn2523@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) เพื่อศึกษาการจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน พื้นที่วิจัยคือ โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 17 คน ครู จำนวน 255 คน และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 45 คนรวมทั้งสิ้น จำนวน 317 ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม เรื่อง สภาพปัญหาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนและ ความต้องการการพัฒนานวัตกรรมระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี มีค่าความเชื่อมั่น 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ปัญหาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.72, S.D.= 0.385) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน ซึ่งเรียงลำดับ<br />จากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อยได้คือ ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ด้านการส่งเสริมและพัฒนานักเรียน ด้านการคัดกรองนักเรียน และด้านการส่งต่อนักเรียน ตามลำดับ</li> <li>การจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.74, S.D.= 0.399) เป็นรูปแบบการดำเนินงานที่กำหนดขึ้นมาเพื่อใช้ในการส่งเสริม พัฒนา ป้องกัน และแก้ไขปัญหานักเรียน ที่ถูกปรับปรุงและพัฒนาในด้านกระบวนการและขั้นตอนของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเพิ่มกระบวนการจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นเฉพาะนักเรียนกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนกลุ่มมีปัญหาในการป้องกันและแก้ไขปัญหา 8 กิจกรรม เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน ซึ่งเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อยได้คือ 1) กิจกรรมการให้คำปรึกษา 2) กิจกรรมรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล 3) กิจกรรมการร่วมมือกันทำงานเป็นทีม 4) กิจกรรมสร้างสรรค์ช่วยกันระดมความคิด 5) กิจกรรมสร้างภูมิคุ้มกันภัยจากยาเสพติด 6) กิจกรรมการดูแลเอาใจใส่ 7) กิจกรรมเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และ 8) กิจกรรมส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข</li> </ol>
2025-09-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/1900
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา กับการพัฒนางานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา อำเภอสารภี 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4
2025-06-04T12:44:50+07:00
ธิดารัตน์ หล้าจันทร์
thidarat.molasses@gmail.com
ประภัสสร สมสถาน
thidarat.molasses@gmail.com
สุขพัชรมณี กันแต่ง
thidarat.molasses@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาการพัฒนางานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับการพัฒนางานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของสถานศึกษาเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาอำเภอสารภี 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 118 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาของสถานศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุด พิจารณารายข้อ พบว่า การจัดการหลักสูตรและการสอนอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา คือ การนิเทศการสอน การพัฒนาคุณภาพครู การกำหนดพันธกิจ กลยุทธ์ และการส่งเสริมบรรยากาศการเรียนการสอน ตามลำดับ<br />2. การพัฒนางานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุด หากพิจารณารายข้อ พบว่า การจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา คือ การดำเนินการตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา การจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง อยู่ในระดับมากที่สุด การกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา การติดตามการดำเนินงานให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา และการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ตามลำดับ<br />3. ภาวะผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษามี ความสัมพันธ์เชิงบวกกับการพัฒนางานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ซึ่งอยู่ในระดับความสัมพันธ์ปานกลาง <br />องค์ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนางานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการบริหารจัดการคุณภาพในโรงเรียนอื่น ๆ เพื่อยกระดับมาตรฐานการศึกษาได้</p>
2025-09-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/2262
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการนับคาร์โบไฮเดรตของประชาชนวัยทำงาน ในเขตภาคกลาง ประเทศไทย
2025-09-09T11:30:12+07:00
ณฐา เมธาบุษยาธร
ajdrnatha@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับพฤติกรรมการนับคาร์โบไฮเดรตของประชาชนวัยทำงาน (2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ความรอบรู้เรื่องการนับคาร์โบไฮเดรต แรงจูงใจในการป้องกันโรคและการสนับสนุนทางสังคมกับพฤติกรรมการนับคาร์โบไฮเดรตของประชาชนวัยทำงาน และ (3) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการนับคาร์โบไฮเดรตของประชาชนวัยทำงาน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจภาคตัดขวาง ใช้แนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพ ทฤษฎีแรงจูงใจในการป้องกันโรค และทฤษฎีการสนับสนุนทางสังคมเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยคือภาคกลางของประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนวัยทำงาน จำนวน 390 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยส่วนบุคคล ความรอบรู้เรื่องการนับคาร์โบไฮเดรต แรงจูงใจในการป้องกันโรค การสนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมการนับคาร์โบไฮเดรต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน <br />ผลการวิจัยพบว่า (1) พฤติกรรมการนับคาร์โบไฮเดรตของประชาชนวัยทำงานส่วนใหญ่อยู่ในระดับน้อย ร้อยละ 70.77 (2) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา และอาชีพ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการนับคาร์โบไฮเดรต (p<0.05) ความรอบรู้เรื่องการนับคาร์โบไฮเดรตมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับสูงกับพฤติกรรมการนับคาร์โบไฮเดรต (r = 0.60, p < 0.01) แรงจูงใจในการป้องกันโรคและการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับปานกลางกับพฤติกรรมการนับคาร์โบไฮเดรตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.47 และ 0.46, p < 0.01 ตามลำดับ) (3) ปัจจัยส่วนบุคคล ความรอบรู้เรื่องการนับคาร์โบไฮเดรต แรงจูงใจในการป้องกันโรคและการสนับสนุนทางสังคมสามารถอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการนับคาร์โบไฮเดรตของประชาชนวัยทำงานได้ ร้อยละ 38.20 (Adjusted R Square = 0.382) <br />องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยพบว่า ประชาชนวัยทำงานมีพฤติกรรมการนับคาร์โบไฮเดรตระดับน้อย ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา และอาชีพ ความรอบรู้เรื่องการนับคาร์โบไฮเดรต แรงจูงใจในการป้องกันโรคและการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการนับคาร์โบไฮเดรตของประชาชนวัยทำงาน ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการบริหารจัดการกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยให้ความสำคัญกับการนับคาร์โบไฮเดรตของประชาชนวัยทำงานเพื่อส่งผลถึงการลดปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอีกทั้งยังสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานของประชาชนต่อไปอย่างยั่งยืน</p>
2025-09-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/PYJ/article/view/1901
ผลกระทบของการประยุกต์ใช้นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ในกระบวนการเรียนรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคหลิ่วโจว มณฑลกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน
2025-06-04T12:45:40+07:00
ชิง หลิน
wearetheworldsong@gmail.com
สำเริง ไกยวงค์
wearetheworldsong@gmail.com
อัญชลี ชัยศรี
wearetheworldsong@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้เป็นการวิจัยวิจัยเชิงปริมาณโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในกระบวนการเรียนรู้ที่มีต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคหลิ่วโจว มณฑลกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือนักศึกษามหาวิทยาลัย โพลีเทคนิคหลิ่วโจว จำนวน 673 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยประยุกต์ใช้เทคนิคการสุ่มเลือกตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามเรื่องผลกระทบของการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในกระบวนการเรียนรู้ที่มีต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคหลิ่วโจว มณฑลกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สมการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรที่ใช้วัดการประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการเรียนรู้ทั้ง 5 ตัวแปรคือ (1) การใช้แพลตฟอร์ม AI ในการสอนของคณาจารย์ (2) การประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาทักษะเฉพาะทาง (3) การประยุกต์ใช้ AI ในการทำการบ้านและทบทวนบทเรียน (4) การประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการเรียนรู้ที่ปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล และ(5) การประยุกต์ใช้ AI ในการเรียนรู้ภาษา มีผลกระทบเชิงบวกต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 ตัวแปรที่มีผลกระทบต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษามากที่สุด คือ การใช้แพลตฟอร์ม AI ในการสอนของคณาจารย์ รองลงมา คือ การประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาทักษะเฉพาะทาง การประยุกต์ใช้ AI ในการทำการบ้านและทบทวนบทเรียน และการประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการเรียนรู้ที่ปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ส่วนการประยุกต์ใช้ AI ในการเรียนรู้ภาษา มีผลกระทบต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาน้อยกว่าตัวแปรอื่น ๆ แต่ยังมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ตัวแปรอิสระทั้ง 5 ตัวแปรนี้สามารถอธิบายความแปรปรวนของผลลัพธ์การเรียนรู้ได้ 75.1% ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นศักยภาพของการนำ AI ในการยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ผ่านการประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการเรียนรู้ นอกจากนี้ ยังช่วยให้สถาบันการศึกษาทราบแนวทางในการวางแผนและออกแบบกระบวนการเรียนรู้โดยการประยุกต์ใช้ AI เพื่อเพิ่มผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน </p>
2025-09-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร ปัญญาลิขิต