วารสารการบริหารและความเป็นผู้นำทางการศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง https://so15.tci-thaijo.org/index.php/LEAD <p><span class="s1">ภาควิชาบริหารการศึกษาและอุดมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดการเรียนการสอนหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ตั้งแต่ปีการศึกษา 2537 เป็นต้นมา โดยส่งเสริมและสนับสนุนนักศึกษาในหลักสูตรเผยแพร่ผลงานวิจัยทั้งในการประชุมวิชาการ วารสารวิชาการ ระดับชาติ และนานาชาติ ให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษายิ่งขึ้น ภาควิชาฯ จึงดำเนินโครงการจัดทำ "วารสารการบริหารและความเป็นผู้นำทางการศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง" ด้วยตระหนักว่า</span><span class="s1">การจัดทำวารสารเป็นภารกิจสำคัญยิ่ง เป็นแหล่งข้อมูลในการนำองค์ความรู้ ผลงานค้นคว้าวิจัย ความคิดเห็นทางวิชาการ ทั้งจากนักศึกษา คณาจารย์ นักวิชาการ ผู้สนใจทั้งภายในและภายนอก ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกัน</span></p> <p><strong>วารสาร</strong><span class="s1"><strong>การบริหารและความเป็นผู้นำทางการศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง</strong> (Leadership Educational Administration Development Journal, Ramkhamhaeng University: LEAD) เป็นวารสารเกี่ยวกับการศึกษา ความเป็นผู้นำทางการศึกษา นวัตกรรมทางการศึกษา การพัฒนาและการจัดการศึกษาทุกระดับ เพื่อนำองค์ความรู้ ข้อค้บพบ ผลการศึกษา วิจัย นำมาตีพิมพ์เผยแพร่ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาอย่างเป็นระบบ</span></p> <p><span class="s1">บทความทุกบทความจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน <strong>"สามคน" </strong>ต่อบทความ</span></p> <p>วารสารการบริหารและความเป็นผู้นำทางการศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นสมาชิกของวารสารไทยออนไลน์ (ThaiJo)</p> th-TH <p><span style="font-size: 12.0pt; font-family: 'Segoe UI',sans-serif; color: #0d0d0d;">The authors' sole responsibility is the ideas and recommendations presented in articles for the LEAD Journal. If there are any errors, the authors bear full responsibility.</span></p> <p><span style="font-size: 12.0pt; font-family: 'Segoe UI',sans-serif; color: #0d0d0d;">Furthermore, the LEAD Journal's Editorial Board, Editorial Team, and Committee will not compromise the integrity of the principles according to the authors' ideas.</span></p> <p><span style="font-size: 12.0pt; font-family: 'Segoe UI',sans-serif; color: #0d0d0d;">Therefore, the Ramkhamhaeng University, the Editorial Board, the Editorial Team, and the editors will not be held liable for any consequences arising from the author's presentation of ideas and recommendations in the LEAD Journal.</span></p> leadjournal2023@gmail.com (Assistant Professor Patumphorn Piatanom, Ph.D.) leadjournal2023@gmail.com (Kamoltip Thongkamhaeng, Ph.D.) Sun, 01 Sep 2024 11:19:27 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 Followership: A New Paradigm in Organizational Management https://so15.tci-thaijo.org/index.php/LEAD/article/view/1009 <p>In addition to the leadership theory, a new theory called Followership has been proposed, which means the ability to be a quality member of the organization. A good follower must be a strong person, have their own ideas, and be humble.</p> <p>Followership is an important support in driving leaders and organizations to success. Increasing organizational efficiency so that the organization can operate successfully according to the set goals, one important factor is effective followers who help the organization's operations proceed to achieve their objectives, save resources in terms of time, assets, or human resources. All of this comes from the leader setting guidelines for followers to implement policies, along with the support of followers who help promote leadership for the organization's leaders.</p> <p>In particular, followers with leadership who can give advice to leaders effectively. In terms of leaders, they should play their role in accepting and promoting the abilities of followers to develop followership all the time. However, by nature, organizations in general are full of various types and forms of followers and have different working styles, especially the changing generations, which is something that leaders must observe and accept and understand. Ready to learn the differences of followers and the follower status of each follower</p> ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยรามคำแหง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/LEAD/article/view/1009 Fri, 06 Sep 2024 00:00:00 +0700 SPTLEOBC: ศิลปะการบริหารเวลาสู่ความสำเร็จ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/LEAD/article/view/1035 <div class="page" title="Page 1"> <div class="section"> <div class="layoutArea"> <div class="column"> <p>บทคัดย่อ</p> </div> </div> <div class="layoutArea"> <div class="column"> <p class="p1"><span class="s1">ศิลปะการบริหารเวลาเป็นทักษะที่สำคัญต่อชีวิต ซึ่งผลลัพธ์ของการจัดการเวลาที่มีประสิทธิผลจะส่งผลให้เกิดผลผลิตที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มความมุ่งมั่นและการมีสมาธิ การตัดสินใจที่ดีขึ้น การลดความเครียด และความเหนื่อยหน่าย ทำให้บรรลุเป้าหมายและแรงจูงใจ และสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน โดยการบริหารเวลาให้มีประสิทธิผลจำเป็นต้องมีศิลปะการบริหารเวลาสู่ความสำเร็จ ที่เรียกว่า <strong>SPTLEOBC</strong> สำหรับการบริหารเวลา ดังนี้ 1) การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน (<strong>S</strong>: Setting Clear Goals) 2) การจัดลำดับความสำคัญของงาน (<strong>P</strong>: Prioritizing Tasks) 3) การจัดช่วงเวลา (<strong>T</strong>: Time Blocking) 4) การเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ (<strong>L</strong>: Learning to Say No) 5) การเปิดรับเทคโนโลยี (<strong>E</strong>: Embracing Technology) 6) การเอาชนะการผลัดวันประกันพรุ่ง (<strong>O</strong>: Overcoming Procrastination) 7) การสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิต (<strong>B</strong>: Balancing Work and Life) และ 8) การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (<strong>C</strong>: Continuous Improvement) โดยสรุปแล้ว <strong>SPTLEOBC</strong> ช่วยให้สามารถการบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะมีผลต่อความเป็นอยู่ ความสัมพันธ์ที่ดี และการมีความสำเร็จที่มีความหมายแก่ชีวิตตนเองได้อย่างสมดุล</span></p> <p> </p> </div> </div> </div> </div> ธิติกร อติชาตพงศ์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยรามคำแหง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/LEAD/article/view/1035 Tue, 03 Sep 2024 00:00:00 +0700 การเสริมสร้างศักยภาพครูยุคใหม่สู่การบูรณาการการทำงานอย่างกลมกลืนในสถานศึกษา https://so15.tci-thaijo.org/index.php/LEAD/article/view/1221 <p>บทความนี้มุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพครูยุคใหม่ให้สามารถปรับตัวและพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการจัดการเรียนรู้ในบริบทของการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ครูในยุคดิจิทัลต้องเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความหลากหลายของผู้เรียน และความจำเป็นในการบูรณาการการทำงานร่วมกับบุคลากรในสถานศึกษา บทความนี้นำเสนอแนวทางการพัฒนาทักษะเฉพาะทาง เช่น การใช้เทคโนโลยี การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ และการทำงานเป็นทีม โดยผ่านการฝึกอบรม การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ (PLC) และระบบพี่เลี้ยงและโค้ชชิ่ง ทั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการบูรณาการการทำงานในสถานศึกษา โดยการสื่อสารและความร่วมมือระหว่างครู ผู้บริหาร และบุคลากร การใช้เครื่องมือบริหารจัดการ เช่น วงจร PDCA และ Agile Management เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การทำงานในองค์กรมีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ จุดมุ่งหมายของบทความคือการเสนอแนวทางที่ครูสามารถพัฒนาทักษะของตนเองได้อย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาผ่านการบูรณาการการทำงานอย่างกลมกลืน ข้อเสนอแนะสำคัญคือการพัฒนาระบบการฝึกอบรมครูที่เน้นการปฏิบัติจริง การสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ร่วมมือกัน และการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างครูและบุคลากรในสถานศึกษาเพื่อสร้างความยั่งยืนในด้านการจัดการเรียนรู้</p> วรพล ศรีเทพ, ฮาดี บินดู่เหล็ม Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยรามคำแหง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/LEAD/article/view/1221 Tue, 12 Nov 2024 00:00:00 +0700 สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นเลิศของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง https://so15.tci-thaijo.org/index.php/LEAD/article/view/714 <p> </p> <p class="p1"><span class="s1">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา </span><span class="s2">2) ศึกษาระดับความ</span><span class="s3">เป็นเลิศของสถานศึกษา และ 3) สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นเลิศของสถานศึกษา</span><span class="s4"> กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่</span><span class="s3">การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง ปีการศึกษา 2566 จำนวน </span><span class="s4">260 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<span class="Apple-converted-space"> </span>ค่า</span><span class="s2">สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และค่าการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะ ของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของข้าราชการครู ทั้งภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก 2) ความเป็นเลิศของสถานศึกษาตามทัศนะ</span><span class="s5">ของข้าราชการครู ทั้งภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก และ 3) สมรรถนะ</span><span class="s4">ของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย การพัฒนาตนเอง ความเป็นผู้นำทางวิชาการ การบริหาร</span><span class="s2">สถานศึกษา หลักสูตร การสอน การวัดและประเมิน และ</span><span class="s4">นโยบายและการวางแผนกลยุทธ์ ส่งผลต่อความเป็นเลิศ ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา</span><span class="s2">มัธยมศึกษาพัทลุง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสามารถร่วมทำนายระดับความเป็นเลิศ ได้ร้อยละ 91</span></p> ปรียฉัตร คงฉิม, ปทุมพร เปียถนอม Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยรามคำแหง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/LEAD/article/view/714 Sun, 01 Sep 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาเกมการศึกษาเพื่อสร้างเสริมความสามารถการคิดเชิงวิพากษ์ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หน่วยเรียนรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเสาหงษ์ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/LEAD/article/view/893 <p>การวิจัยนี้เป็นการพัฒนาเกมการศึกษา เพื่อสร้างเสริมความสามารถการคิดเชิงวิพากษ์ โดยศึกษาผลการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา และมีการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา ประชากรกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม หน่วยเรียนรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ โรงเรียนบ้านเสาหงษ์ จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 23 คน ผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยในชั้นเรียนเชิงปฏิบัติการ การทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เกมการศึกษา แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน แบบสังเกตการคิดเชิงวิพากษ์ แบบประเมินความคิดเห็น สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1) พัฒนาเกมการศึกษา โดยมีประสิทธิภาพ ค่าเท่ากับ 80.87/81.52 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า ผู้เรียนมีค่าคะแนนทดสอบหลังเรียน x ̅=15.83,SD=1.19&nbsp; สูงกว่าค่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน x ̅=11.74,SD=2.80 โดยมีค่า t คำนวณเท่ากับ 8.39 ที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากการสังเกตการคิดเชิงวิพากษ์ของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเกมการศึกษา พบว่า โดยภาพรวมผู้เรียนมีความสามารถการคิดเชิงวิพากษ์อยู่ในระดับดี&nbsp; มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.45 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.55 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา พบว่า ร้อยละ 85 ผู้เรียนมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก x ̅=4.27,SD=0.44</p> สุดารัตน์ มะลิชื่น, สิรภัทร จันทะมงคล Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยรามคำแหง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so15.tci-thaijo.org/index.php/LEAD/article/view/893 Sun, 01 Sep 2024 00:00:00 +0700