วารสารพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/Journalbid
<p>Print ISSN : 2985-2242 Online ISSN : 2985-2250 </p> <p>กำหนดออก : 3 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม และฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</p> <p>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความในด้านธุรกิจและอุตสาหกรรม ด้านทรัพยากรมนุษย์ ด้านการบริหารจัดการองค์กรในภาครัฐและเอกชน และด้านอุตสาหกรรมสัมพันธ์</p>
Faculty of Business and Industrial Development, King Mongkut's University of Technology North Bangkok.
th-TH
วารสารพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม
2985-2242
-
บทบรรณาธิการ
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/Journalbid/article/view/1776
<p>-</p>
ศุภกร เจริญประสิทธิ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
5 1
-
การศึกษาแรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อการพัฒนาตนเองของแพทย์แผนไทยในจังหวัดลพบุรี
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/Journalbid/article/view/436
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับแรงจูงใจในการทำงานและการพัฒนาตนเอง และ 2) แรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อการพัฒนาตนเองของแพทย์แผนไทยในจังหวัดลพบุรี ประชากรในการวิจัยนี้ ได้แก่ แพทย์แผนไทยสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ในจังหวัดลพบุรี รวมทั้งสิ้น 59 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ความแปรปรวน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับแรงจูงใจในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองโดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 2) ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ พบว่า ปัจจัยจูงใจในการทำงาน ด้านความสำเร็จในการปฏิบัติงาน และด้านโอกาสการมีความก้าวหน้าในงานส่งผลต่อการพัฒนาตนเองของแพทย์แผนไทยในจังหวัดลพบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
เชฐธิดา กุศลาไสยานนท์
จุฑารัตน์ ปิณฑะแพทย์
ธมน ประสาทพันธุ์
Copyright (c) 2025 วารสารพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
5 1
1
13
-
การประเมินระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ในมุมมองของผู้ใช้งาน กรณีศึกษาบ้านในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/Journalbid/article/view/642
<p>ในปัจจุบันมีความสนใจในการใช้พลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น รวมถึงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านเรือน อย่างไรก็ตามข้อมูลทางเทคนิคที่มาจากมุมมองของผู้ผลิตและผู้ติดตั้งมักซับซ้อน ทำให้ผู้ใช้งานยากที่จะเข้าใจและตัดสินใจ นอกจากนี้ หลักเกณฑ์หลายอย่างยังส่งผลต่อการตัดสินใจที่แตกต่างกันตามลักษณะทางกายภาพและภูมิศาสตร์ของอาคารบ้านเรือน งานวิจัยนี้มีเป้าหมายในการรวบรวมและวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินและการคัดเลือกระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา โดยเน้นปัจจัยที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ใช้งาน โดยกำหนดขอบเขตการศึกษาเป็นบ้านในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ 12 ปัจจัย นำมาจัดลำดับโดยผู้เชี่ยวชาญด้วยวิธีการจัดลำดับตำแหน่งเฉลี่ย (ROC) ทำการคัดเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด โดยใช้เทคนิคการตัดสินใจแบบเรียงลำดับความสำคัญเทียบเคียงอุดมคติ (TOPSIS) ผลการวิจัยพบว่าเกณฑ์สำคัญสามลำดับแรกและค่าน้ำหนักได้แก่ กำลังวัตต์ต่อแผง (0.2586) ข้อมูลด้านต้นทุน (0.1753) และอายุการใช้งาน (0.1336) ซึ่งผลที่ได้นี้สอดคล้องกับความคิดเห็นของผู้ใช้งานโดยทั่วไป ถึงการพิจารณาให้ความสำคัญกับเกณฑ์ในด้านประสิทธิภาพ ด้านความคุ้มค่าในการลงทุน และด้านอายุการใช้งานตามลำดับ ผลการเลือกพบว่ารูปแบบที่ 1 โซลาร์เซลล์แบบโมโนคริสตัลไลน์มีความเหมาะสมที่สุด ผลการศึกษานี้ใช้เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจสำหรับผู้สนใจทั่วไป ทำให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น และมั่นใจในการตัดสินใจ โดยสามารถประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจประเมินและคัดเลือก โดยพิจารณาเกณฑ์ที่ได้จากงานวิจัยนี้ และทำการปรับค่าน้ำหนักเพื่อประเมินทางเลือกที่มีตามพื้นที่ที่นำไปประยุกต์ใช้งาน</p>
อินทวดี จันทร์ทักษิโณภาส
ทศพร อัศวรังษี
กนกพร ศรีปฐมสวัสดิ์
Copyright (c) 2025 วารสารพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
5 1
14
32
-
การพัฒนารูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/Journalbid/article/view/815
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และเพื่อจัดทำคู่มือแนวทางการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน การวิจัยใช้เทคนิคเดลฟายโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 21 คน และการประชุมสนทนากลุ่มโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 12 คน เครื่องมือในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบสอบถาม แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบและคู่มือ ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าฐานนิยม ค่ามัธยฐาน และค่าพิสัยระหว่างควอร์ไทล์ ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบสำคัญของรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ประกอบด้วย 3 มิติ 8 องค์ประกอบหลัก 20 องค์ประกอบย่อย ดังนี้ มิติที่ 1 บทบาทภาครัฐ มี 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) การกำหนดนโยบายของภาครัฐ ประกอบด้วย กระบวนการกำหนดนโยบาย และการปฏิบัติตามนโยบาย 2) ระบบการทำงานของภาครัฐประกอบด้วย การจัดการองค์กร การติดตามผลงาน และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร และ 3) การสนับสนุนของภาครัฐ ประกอบด้วย ด้านแหล่งข้อมูล ด้านแหล่งเงินทุน และด้านการแข่งขันทางการตลาด มิติที่ 2 บทบาทร่วมภาครัฐและภาคเอกชน มี 2 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 4) การประสานงาน ประกอบด้วย กลไกการสื่อสารด้วยดิจิทัล และการสร้างความร่วมมือ 5) การมีส่วนร่วมประกอบด้วย การพัฒนาผู้ประกอบการ และการกำหนดมาตรการและข้อบังคับ และมิติที่ 3 บทบาทภาคเอกชน มี 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 6) การเตรียมพร้อมของภาคเอกชน ประกอบด้วย การจัดการความรู้ และการสร้างศักยภาพองค์กร 7) การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนประกอบด้วย การบริหารงาน จรรยาบรรณ และนวัตกรรมการผลิต 8) ระบบปฏิบัติการเชิงรุก ประกอบด้วย ผู้นำการเปลี่ยนแปลง การสร้างโอกาสทางธุรกิจ และการสร้างระบบเครือข่าย รูปแบบและคู่มือแนวทางทางการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันได้รับความเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิด้วยมติเป็นเอกฉันท์ในด้านความเหมาะสมในการนำไปประยุกต์ใช้ในระดับมาก</p>
กฤติยา เกิดผล
สุภัททา ปิณฑะแพทย์
ธีรวุฒิ บุณยโสภณ
Copyright (c) 2025 วารสารพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
5 1
33
47
-
การศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดเพื่อการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางสำหรับผิวหน้า
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/Journalbid/article/view/828
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดเพื่อการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางสำหรับผิวหน้าของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร และเปรียบเทียบลักษณะประชากรกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดเพื่อการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางสำหรับผิวหน้าระหว่างกลุ่มผู้บริโภคที่มีปัจจัยทางประชากรต่างกัน กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริโภคเพศชายและเพศหญิง ทุกช่วงอายุ ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลงานวิจัยครั้งนี้ ใช้เป็นแบบสอบถาม โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลของงานวิจัยนี้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนผลการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคให้ระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดเพื่อการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางสำหรับผิวหน้า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านราคา ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด และ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย เมื่อพิจารณาในแต่ละด้าน พบว่า ผู้บริโภคที่มี อายุ อาชีพ และรายได้ต่อเดือนต่างกัน ให้ระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดแตกต่างกัน</p>
ณัฐชญา ดวงจินดา
Copyright (c) 2025 วารสารพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
5 1
48
64
-
การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้าผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม กรณีศึกษา ห้างหุ้นส่วนจำกัด ABC ขอนแก่น
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/Journalbid/article/view/1329
<p>งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการผลิตและรูปแบบพื้นที่คลังสินค้า เสนอแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่โดยประยุกต์ใช้หลักการวางผังโรงงานอย่างมีระบบ (Systematic Layout Planning : SLP) กรณีศึกษา ห้างหุ้นส่วนจำกัด ABC ขอนแก่น โดยจากการเก็บข้อมูลจากแบบสังเกตการณ์ พบปัญหาที่เกิดจากการวางผังคลังสินค้าที่ไม่เหมาะสม มีการวางรูปแบบกระบวนการทำงานที่ไม่ชัดเจน ทางเดินแคบ ไม่มีการออกแบบผังที่เป็นระบบ เกิดเสียงดังระหว่างการทำงาน อากาศร้อน อบอ้าว ส่งผลต่อความสูญเปล่าด้านระยะเวลาในกระบวนการผลิต จากผลการดำเนินการวิจัยนี้เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการพื้นที่และกระบวนการทำงานในคลังสินค้า ผู้วิจัยได้นำหลักการวางผังโรงงานอย่างมีระบบ (Systematic Layout Planning: SLP) ในการจัดตำแหน่งพื้นที่คลังสินค้า ประยุกต์ใช้แผนภูมิกระบวนการไหล (Flow Process Chart: FPC) แผนภาพการไหล (Flow Diagram: FD) การออกแบบผังตามกระบวนการ (Process-layout Design ในการวิเคราะห์ขั้นตอนกระบวนการปฏิบัติงาน) รวมถึงหลักการลดความสูญเปล่าและเพื่อเปรียบเทียบผลการจัดการและปรับปรุงผังคลังสินค้า พบว่าหลังการปรับปรุง ระยะทางการขนย้ายวัตถุดิบลดลงจาก 110.00 เมตร เหลือ 41.00 เมตร ลดลงร้อยละ 62.73 และระยะเวลาการทำงานรวมลดลงจาก 3,955 วินาที เหลือ 3,469 วินาที ลดลงร้อยละ 12.29 การปรับปรุงผังคลังสินค้านี้ช่วยลดระยะทางและเวลาในกระบวนการทำงาน ทำให้คลังสินค้าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจได้</p>
อริศญา คุ้มไพทูลย์
ศศิพร ภูพานแดง
ยุวกรณ์ ฆ้องก่ำ
มณฑิรา พรมดี
Copyright (c) 2025 วารสารพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
5 1
65
77
-
การจัดการความรู้และองค์การแห่งการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/Journalbid/article/view/1398
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก (2) เพื่อศึกษาองค์การแห่งการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก จำนวน 166 ตัวอย่าง โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติการวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการจัดการความรู้ ประกอบด้วย ด้านการสร้างความรู้ ด้านการจัดเก็บความรู้ ด้านการเผยแพร่ความรู้ และด้านการประยุกต์ใช้ความรู้ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก และปัจจัยองค์การแห่งการเรียนรู้ ประกอบด้วยด้าน ด้านบุคคลที่รอบรู้ ด้านรูปแบบความคิด ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วม ด้านการเรียนรู้เป็นทีม และด้านการคิดเชิงระบบ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก</p>
รัตติยาภรณ์ สุขสมบูรณ์
รักเกียรติ โรจน์กัญญาพร
Copyright (c) 2025 วารสารพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
5 1
78
92
-
การศึกษาทักษะทุนชีวิตของบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/Journalbid/article/view/1419
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทักษะทุนชีวิตของบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ 2) พัฒนารูปแบบทักษะทุนชีวิตของบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ วิธีดำเนินการวิจัยใช้เทคนิคเดลฟาย โดยสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 19 คน ซึ่งได้พิจารณาคัดเลือกข้อคิดเห็นที่ค่ามัธยฐานตั้งแต่ระดับมากขึ้นไป (Md. >3.50) และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ น้อยกว่า 1.50 ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้ 1. ผลการศึกษา พบว่า ทักษะทุนชีวิตของบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (Md.=4.11) และพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.ด้านการมีความสามารถทางทักษะดิจิทัล (Md.=4.33) 2.ด้านการมีทักษะทางอารมณ์และสังคม (Md.=4.15) และ 3.ด้านการมีทักษะการรู้หนังสือ ซึ่งครอบคลุมถึงการอ่านเพื่อความเข้าใจและการประยุกต์ใช้ความรู้กับสถานการณ์จริง (Md.=3.91) 2. ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็นในการพัฒนารูปแบบทักษะทุนชีวิตของบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ คือ การมีความสามารถทางทักษะดิจิทัล ให้มีความรู้ในการจัดเก็บและจัดการไฟล์ข้อมูลในรูปแบบที่เป็นระเบียบและปลอดภัยได้ โดยต้องสามารถใช้งานด้านซอฟต์แวร์พื้นฐาน เช่น ระบบปฏิบัติการ โปรแกรมจัดการเอกสาร รวมถึงการมีทักษะทางอารมณ์และสังคม ในการเรียนรู้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเช่น การฟังอย่างตั้งใจและการพูดในลักษณะที่สุภาพและเคารพผู้อื่น อันเป็นพื้นฐานของพัฒนารูปแบบทักษะทุนชีวิตของบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ ทั้งนี้ผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้ง 3 คน ได้พิจารณาการพัฒนารูปแบบนี้ เห็นว่ามีความสอดคล้องเหมาะสมตรงตามเนื้อหา และ มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จได้จริง</p>
ประชา ตันเสนีย์
อภิศักดิ์ หนูชูไชย
กันยา สรรพกิจโกศล
Copyright (c) 2025 วารสารพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
5 1
93
104
-
การศึกษาเปรียบเทียบข้อกำหนดด้านการจัดการเพื่อคงความต่อเนื่องของความสมควรเดินอากาศของอากาศยาน
https://so15.tci-thaijo.org/index.php/Journalbid/article/view/1455
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบข้อกำหนดด้านการจัดการเพื่อคงความต่อเนื่องของความสมควรเดินอากาศขององค์การความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรปและสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย รวมถึงเสนอแนวทางการปรับปรุงข้อกำหนดของประเทศไทยให้สอดคล้องกับองค์การความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรปและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพในรูปแบบการวิจัยเชิงเอกสาร ทำการศึกษาเอกสารข้อกำหนดด้านการจัดการเพื่อคงความต่อเนื่องของความสมควรเดินอากาศและทำการตรวจประเมินความแตกต่างระหว่างข้อกำหนดขององค์การความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรปและสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย โดยใช้การวิเคราะห์ช่องว่าง ผลการศึกษาพบว่า ข้อกำหนดด้านการจัดการเพื่อคงความต่อเนื่องของความสมควรเดินอากาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยอ้างอิงจากองค์การความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป จึงมีองค์ประกอบสำคัญส่วนใหญ่สอดคล้อง ครอบคลุม และครบถ้วน แต่มีความแตกต่างกันในบางส่วน ได้แก่ องค์ประกอบของโครงสร้างเอกสาร การรับรองหน่วยซ่อม การประเมินความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสะอาดของสถานที่ ระยะเวลาการจัดเก็บเอกสารเทคนิค รายละเอียดของการบันทึกประวัติการซ่อมบำรุง แผนการบำรุงรักษาอากาศยาน หลักสูตรซ่อมบำรุงอากาศยาน และข้อกำหนดเกี่ยวกับคู่มือการซ่อมบํารุงทั่วไป สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงควรติดตามและปรับปรุงข้อกำหนดให้ทันสมัย ครอบคลุม และสอดคล้องกับข้อกำหนดขององค์การความปลอดภัย ด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป ในขณะที่ผู้ดำเนินการเดินอากาศควรปรับปรุงคู่มือที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ทันสมัย และเป็นมาตรฐานเดียวกัน</p>
นิชาดา นาคกระสันต์
นปภา ภทรกมลพงษ์
คงศักดิ์ ชมชุม
Copyright (c) 2025 วารสารพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
5 1
105
117