https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JOIC/issue/feed วารสารนวัตกรรมและวัฒนธรรมองค์การ 2025-06-30T00:00:00+07:00 รองศาสตราจารย์ ดร.รังสรรค์ โฉมยา rungson.c@msu.ac.th Open Journal Systems https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JOIC/article/view/997 การศึกษาความต้องการรูปแบบการเรียนรู้เสมือนจริงสำหรับระดับอุดมศึกษา 2024-07-21T19:02:25+07:00 ศิริพร น้อยอำคา siriporn.p@msu.ac.th ฤทัย นิ่มน้อย ruethai.n@msu.ac.th รัตนโชติ เทียนมงคล ratanachote.t@msu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการรูปแบบการเรียนรู้เสมือนจริงสำหรับระดับอุดมศึกษา และ 2) เพื่อนำเสนอกรอบแนวคิดรูปแบบการเรียนรู้เสมือนจริงสำหรับระดับอุดมศึกษา ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 379 คน โดยใช้วิธีการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง Krejcie &amp; Morgan และใช้วิธีคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามความต้องการซึ่งประกอบไปด้วยคำถามเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลอยู่ในรูปแบบความถี่และการวิเคราะห์โดยการจำแนกชนิดข้อมูลอธิบายผลในรูปแบบพรรณนา ผลการศึกษาความต้องการรูปแบบการเรียนรู้เสมือนจริงสำหรับระดับอุดมศึกษาพบว่า 1) ความต้องการรูปแบบการเรียนรู้เสมือนจริงสำหรับระดับอุดมศึกษาต้องเป็นการเรียนรู้ผ่านออนไลน์ มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมานั่งในห้องเรียนจริง และมีโปรแกรมเข้ามาช่วยในการเรียนรู้ต่างๆ ที่นอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียนปกติ และ 2) กรอบแนวคิดรูปแบบการเรียนรู้เสมือนจริงสำหรับระดับอุดมศึกษา ประกอบไปด้วย 2 ปัจจัยหลักที่สัมพันธ์กัน คือ 1) การเรียนรู้ระดับอุดมศึกษาและการเรียนรู้เสมือนจริง ได้แก่ ความจริงเสมือน, Synchronous Learning / Asynchronous Learning, Software ที่สนับสนุนการเรียน, สามารถเรียนได้ทั้ง Online and Offline และ 2) องค์ประกอบการเรียนยุคใหม่ ได้แก่ Collaborative Learning, Interactive, Technology ซึ่งจากกรอบแนวคิดนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนรู้เสมือนจริงสำหรับระดับอุดมศึกษาเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้เรียน และทำให้เกิดความยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคตต่อไป</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมและวัฒนธรรมองค์การ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JOIC/article/view/1034 การประเมินผลการสนับสนุนทุนโครงการบริการวิชาการ ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในช่วงปี พ.ศ. 2554 – 2566 2024-08-13T09:43:45+07:00 วัชญา อ่อนนางใย watchaya.o@msu.ac.th <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ (1) เพื่อวิเคราะห์ผลการจัดสรรทุนโครงการบริการวิชาการ (2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นต่อการสนับสนุนพันธกิจด้านการบริการวิชาการของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ อาจารย์ นักวิจัย และบุคลากรภายในที่เคยขอรับทุนโครงการบริการวิชาการ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทำการวิเคราะห์เอกสารและฐานข้อมูลผลการจัดสรรทุนโครงการบริการวิชาการ จากเงินแผ่นดินและเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย ในช่วงปี พ.ศ. 2554 – 2566 ผลการวิจัยปรากฏ ดังนี้</p> <ol> <li>ผลจากการวิเคราะห์การสนับสนุนงบประมาณของมหาวิทยาลัย พบว่า โครงการบริการวิชาการส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นโครงการใหม่ มีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินงานโครงการมากที่สุด และมีคณะการบัญชีและการจัดการเป็นหน่วยงานร่วมดำเนินงานโครงการมากที่สุด ส่วนพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินงานโครงการมากที่สุด คือ จังหวัดมหาสารคาม สถานที่ที่ใช้ในการดำเนินการมากที่สุด คือ หมู่บ้านหรือชุมชน และกลุ่มเป้าหมายที่มีการดำเนินการมากที่สุด คือ กลุ่มชุมชนหรือชาวบ้าน โดยประเด็นในการพัฒนาชุมชนและสังคมมากที่สุด คือ ด้านการศึกษาและทักษะภาษา และมิติการพัฒนาที่มีการดำเนินการมากที่สุด คือ มิติด้านเศรษฐกิจ ทั้งนี้โครงการส่วนใหญ่ไม่สามารถดำเนินงานโครงการให้สำเร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามสัญญาการรับทุนได้</li> <li>ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นต่อการสนับสนุนพันธกิจการบริการวิชาการของมหาวิทยาลัย จากการแปลผล พบว่า โดยรวมและรายด้านมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ทั้งด้านการสนับสนุนทุนโครงการบริการวิชาการ และด้านการส่งเสริมการจัดกิจกรรมโครงการ เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีความพึงพอใจสูงสุด คือ การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารการให้ทุนทั้งจากแหล่งทุนภายในและแหล่งทุนภายนอกมีความรวดเร็วและทั่วถึง ส่วนข้อที่มีความพึงพอใจต่ำสุด คือ จำนวนเงินทุนเหมาะสมกับขอบเขตของงาน ทั้งนี้อาจารย์และนักวิจัยได้ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาที่พบมากที่สุด คือ นโยบายที่ไม่ชัดเจน จึงเสนอแนะให้มหาวิทยาลัยมีการกำหนดนโยบาย แผนงาน หลักเกณฑ์ เงื่อนไข ขอบเขต และแนวทางการดำเนินงานให้ชัดเจน</li> <li>ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นต่อการให้บริการของกองส่งเสริมการวิจัยและบริการวิชาการ จากการแปลผล พบว่า โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการให้บริการของเจ้าหน้าที่ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนด้านกระบวนการขั้นตอนการให้บริการ และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีความพึงพอใจสูงสุด คือ การให้บริการด้วยความสุภาพเป็นมิตร การประสาน และให้คำแนะนำทุกครั้งเมื่อมีข้อผิดพลาดหรือเกิดปัญหา ส่วนข้อที่มีความพึงพอใจต่ำสุด คือ มีที่นั่งพักสำหรับผู้มาติดต่อเพียงพอและเหมาะสม ทั้งนี้อาจารย์และนักวิจัยได้เสนอแนะให้ย้ายสถานที่ตั้งหน่วยงานหรือปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานทั้งภายในและภายนอกให้ดีขึ้น</li> </ol> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมและวัฒนธรรมองค์การ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JOIC/article/view/1123 อิทธิพลของบทบาทที่มากเกินไปและการบ้างานที่มีผลต่อการฟื้นคืนได้ของพนักงานบริษัทอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งหนึ่ง โดยมีความเครียดในงานเป็นตัวแปรส่งผ่าน 2024-09-01T14:35:52+07:00 อนันญลักษณ์ พัววิสิทธิ์ anan.puawisit@gmail.com ถวัลย์ เนียมทรัพย์ fsoctwn@ku.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรงและอิทธิพลทางอ้อมของบทบาทที่มากเกินไปและการบ้างานต่อการฟื้นคืนได้ของพนักงานบริษัทอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งหนึ่ง โดยมีความเครียดในงานเป็นตัวแปรส่งผ่าน ตัวอย่างคือ พนักงานบริษัทอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งหนึ่ง จำนวน 227 คน จากการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และวิเคราะห์อิทธิพลทางตรงและทางอ้อมด้วยวิธี Bootstrapping</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า บทบาทที่มากเกินไปและการบ้างานสามารถอธิบายความแปรปรวนของการฟื้นคืนได้ร้อยละ 33.27 และ 55.40 บทบาทที่มากเกินไปและการบ้างานมีอิทธิพลทางตรงต่อความเครียดในงานของพนักงานบริษัทอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (.647 และ .787) ความเครียดในงานมีอิทธิพลทางตรงต่อการฟื้นคืนได้ของพนักงานบริษัทอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (-.081 และ -.092) และบทบาทที่มากเกินไปและการบ้างานมีอิทธิพลทางอ้อมต่อการฟื้นคืนได้ของพนักงานบริษัทอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งหนึ่งโดยมีความเครียดในงานเป็นตัวแปรส่งผ่านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (-.052 และ -.072)</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมและวัฒนธรรมองค์การ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JOIC/article/view/813 ความต้องการใช้สื่อการเรียนรู้ออนไลน์ ด้านศิลปะและวัฒนธรรมภาคใต้และคาบสมุทรสยาม-มลายูของนักศึกษาในเครือข่าย MOU 3 มหาวิทยาลัย 2024-05-01T17:52:55+07:00 จรรยา หีดแก้ว janya.h@psu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการและเปรียบเทียบความต้องการเกี่ยวกับประเภท ข้อมูลความรู้ และลักษณะของสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ ด้านศิลปะและวัฒนธรรมภาคใต้และคาบสมุทรสยาม-มลายู ของนักศึกษาในเครือข่าย MOU 3 มหาวิทยาลัย โดยวิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1) การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ นักศึกษาในเครือข่าย MOU 3 มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตสงขลา จำนวน 395 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรยามาเน่ จากนั้นทำการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ตามสัดส่วนขนาดกลุ่มประชากรในแต่ละประเภท แล้วจึงใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย แบบจับสลากไม่ใส่กลับ จนได้ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลที่จัดเก็บโดยใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมทั้งเปรียบเทียบระดับความต้องการใช้สื่อการเรียนรู้ออนไลน์ฯ จำแนกตามมหาวิทยาลัย เพศ และระดับ ชั้นปี โดยการทดสอบความแตกต่างของค่าเอฟ ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ทั้งนี้เมื่อพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผู้วิจัยใช้วิธีการเปรียบเทียบรายคู่ต่อ ด้วยวิธีการแบบ LSD 2) การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ นักศึกษาในเครือข่าย MOU 3 มหาวิทยาลัย ดังที่กล่าวไว้ในข้อที่ 1 จำนวน 15 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการกำหนดคุณสมบัติแบบเฉพาะเจาะจงจากผู้ตอบแบบสอบถามที่มีประสบการณ์การใช้สื่อการเรียนรู้ออนไลน์ในเว็บไซต์ Naamchoop.com และแจ้งความจำนงยินยอมให้ข้อมูลเพิ่มเติมในรูปแบบการสัมภาษณ์รายบุคคลไว้ในแบบสอบถาม จากนั้นดำเนินการสุ่มอย่างง่าย แบบจับสลากไม่ใส่กลับในแต่ละมหาวิทยาลัย จนได้กลุ่มผู้ให้ข้อมูลมหาวิทยาลัยละ 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และวิเคราะห์ข้อมูลที่จัดเก็บโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) นักศึกษามีระดับความต้องการใช้สื่อการเรียนรู้ออนไลน์ ด้านศิลปะและวัฒนธรรมภาคใต้และคาบสมุทรสยาม-มลายู ทั้งโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยมีความต้องการใช้สื่อฯ ด้านลักษณะสื่อฯ สูงสุด 2) ผลการเปรียบเทียบระดับความต้องการใช้สื่อฯ ทั้งโดยรวมและรายด้าน พบว่า นักศึกษาที่ศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา มีความต้องการใช้สื่อฯ สูงสุด นักศึกษาที่ศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยและเพศต่างกันมีระดับความต้องการใช้สื่อฯ โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งนี้เมื่อพิจารณารายด้านโดยจำแนกตามมหาวิทยาลัย เพศ และชั้นปีการศึกษา พบว่า นักศึกษามีระดับความต้องการใช้สื่อการเรียนรู้ออนไลน์ฯ ด้านประเภทสื่อฯ และด้านข้อมูลความรู้สื่อฯ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ด้านลักษณะสื่อฯ ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงนักศึกษาต้องการสื่อฯ ที่มีข้อมูลความรู้เกี่ยวกับประเพณี พิธีกรรมเป็นสำคัญ และต้องการใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นลำดับแรก โดยสื่อฯ จะต้องสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา และมีภาษาให้เลือกหลากหลาย ดังนั้นผลการศึกษาข้างต้นสามารถนำมาเป็นแนวทางการจัดทำแผนการพัฒนาสื่อฯ เพื่อเผยแพร่ในเว็บไซต์ Naamchoop.com ของศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเอง คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในอนาคตได้</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมและวัฒนธรรมองค์การ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JOIC/article/view/905 ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานพัสดุกับผลการปฏิบัติงานของบุคลากรในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2024-05-28T13:17:23+07:00 กันต์กนิษฐ์ หาญวงษา kankanit.h@msu.ac.th <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารงานพัสดุและความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานพัสดุที่มีต่อการปฏิบัติงานของบุคลากรในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 3,489 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างได้จำนวน 400 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และใช้แบบสอบถามความคิดเห็นแบบมาตราส่วนประมาณค่าเป็นเครื่องมือในการวิจัย รวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามจำนวน 189 ชุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณ และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า การบริหารงานพัสดุที่มีต่อการปฏิบัติงานของบุคลากรอยู่ในระดับมาก และความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานพัสดุกับการปฏิบัติงานของบุคลากรในมหาวิทยาลัยมหาสารคามมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05)</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมและวัฒนธรรมองค์การ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JOIC/article/view/1064 การจัดการห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะในมหาวิทยาลัยไทย 2024-08-24T18:36:28+07:00 อรรถพล จันทร์สมุด artaphon.c@mail.rmutk.ac.th <p>บทความวิชาการ เรื่อง การจัดการห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะในมหาวิทยาลัยไทยมีความสำคัญในระดับอุดมศึกษา นักวิจัยค้นพบบทความที่เกี่ยวข้องโดยอิงจากผลการทบทวนวรรณกรรม การจัดการห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะในมหาวิทยาลัยไทย แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ห่วงโซ่อุปทานแบบแยกส่วน ห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมต่อ ห่วงโซ่อุปทานแบบประสานกัน และห่วงโซ่อุปทานแบบบูรณาการ สิ่งสำคัญในแต่ละระดับ คือ ความก้าวหน้า ห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนจากการแยกส่วนไปสู่การบูรณาการโดยใช้เทคโนโลยี ข้อมูล และวิธีการร่วมมือเพื่อปรับปรุงความสุขของลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพ และมอบความได้เปรียบทางการแข่งขัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่างๆ ของกระบวนการห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะ รวมถึงการวิเคราะห์ขั้นสูงและข้อมูลเชิงลึกที่สามารถคาดการณ์ได้ การมองเห็นและการติดตามแบบเรียลไทม์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ความร่วมมือและการบูรณาการของซัพพลายเออร์ การจัดการความเสี่ยง และความยืดหยุ่นที่สามารถใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะได้ มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะ เพื่อเร่งกระบวนการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยในไทยให้มีประสิทธิภาพ และมีความสามารถในการตัดสินใจที่ถูกต้อง มอบคุณค่าให้กับสถาบันการศึกษา และส่งมอบผลลัพธ์ที่ตอบสนองผู้ใช้ปลายทางซึ่งเป็นบัณฑิต และงานวิจัยสำเร็จรูป หรือผลิตภัณฑ์สำเร็จอื่นๆ เพื่อให้สถาบันการศึกษาปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ แผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติราชการให้บรรลุวัตถุประสงค์ การจัดการห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะในมหาวิทยาลัยไทย สามารถสนับสนุนมหาวิทยาลัยไทยได้</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมและวัฒนธรรมองค์การ https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JOIC/article/view/320 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การสะท้อนคิดและการเสริมต่อการเรียนรู้โดยเพื่อนสำหรับนักศึกษาที่เรียนในรายวิชาพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กประถมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด 2023-11-07T16:05:32+07:00 อุมาพร ไวยารัตน์ umapornedupsy009@gmail.com เพิ่มพร สุ่มมาตย์ umapornedupsy009@gmail.com วิชิต ถิรเดโชชัย umapornedupsy009@gmail.com กชพร นำนาผล umapornedupsy009@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กวัยประถมศึกษาด้วยเทคนิคการสะท้อนคิดและการเสริมต่อการเรียนรู้โดยเพื่อน (2) เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้ในรายวิชาพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กวัยประถมศึกษาด้วยเทคนิคการสะท้อนคิดและการเสริมต่อการเรียนรู้โดยเพื่อน การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัย<br />ราชภัฏร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 28 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการวิจัย พบว่า กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการสะท้อนคิดและการเสริมต่อการเรียนรู้โดยเพื่อน สำหรับผู้สอนในรายวิชาพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กวัยประถมศึกษามีองค์ประกอบ 7 ประการและ ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มี 4 ขั้นตอน คือ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นสร้างการเรียนรู้ ขั้นเสริมต่อการเรียนรู้<br />ขั้นสะท้อนคิดและสรุปการเรียนรู้ โดยสอดคล้องกับเนื้อหารายวิชาพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กวัยประถมศึกษา และได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญมีความเหมาะสมในระดับมาก ผลการเรียนรู้ในรายวิชาพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กวัยประถมศึกษาด้วยเทคนิคการสะท้อนคิดและการเสริมต่อการเรียนรู้โดยเพื่อน พบว่า ทักษะการสะท้อนคิดที่ใช้คือการจัดระบบความคิด การวิเคราะห์ การพิจารณาในการแก้ปัญหาและการเสริมต่อการเรียนรู้ที่ใช้คือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สะท้อนผลการเรียนรู้เพื่อชื่นชม การให้ข้อเสนอแนะ และการให้กำลังใจ ผลการเรียนรู้ พบว่า นักศึกษามีความเข้าใจในธรรมชาติของผู้เรียน ออกแบบวิธีการส่งเสริมและแก้ไขพัฒนาการของผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม และนักศึกษามีระดับความพึงพอใจต่อการเรียนในระดับมากที่สุด</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมและวัฒนธรรมองค์การ