Applied Economics, Management and Social Sciences https://so15.tci-thaijo.org/index.php/A_EMS <p><strong>นโยบายของวารสาร (</strong><strong>Journal Policies )</strong></p> <p><strong>จุดมุ่งหมายและขอบเขต (</strong><strong>Aim and Scope)<br /></strong> Applied Economics, Management and Social Sciences (AEMS) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ในสาขาสังคมศาสตร์ ได้แก่ เศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ, สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์, พัฒนาสังคม, จิตวิทยา การศึกษา รวมถึง สหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์ วารสารตีพิมพ์เผยแพร่บทความออนไลน์ ปีละ 3 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 2-3 ท่าน โดยผู้พิจารณาบทความจะไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความ และผู้นิพนธ์บทความจะไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) AEMS เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร (</strong><strong>Types of articles)<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร (</strong><strong>Publication schedule)<br /></strong> Applied Economics, Management and Social Sciences มีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน<br />- ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม <br />- ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ (</strong><strong>Publication fee)<br /></strong> เปิดรับบทความวิจัย และบทความวิชาการ <strong>โดยไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์</strong></p> <p><strong>กระบวนการการพิจารณาบทความ (</strong><strong>Review process)<br /></strong> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง โดยจากหลากหลายสถาบันและต่างสังกัดกับผู้เขียน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) โดยมีขั้นตอนดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย และบทความวิชาการ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อ<br /> 2) บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน <br /> 3) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิครบทั้ง 3 ท่าน<br /> 4) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ <br /> กระบวนการโดยรวม ใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 60 วัน ทั้งนี้ขึ้นกับผูพิจารณาบทความ และการปรับแก้ไขของผู้ประพันธ์<br /> ผลการประเมินมี 4 แบบ คือ 1) เห็นควรได้รับการตีพิมพ์โดยไม่ต้องแก้ไข 2) ควรปรับปรุงแก้ไขก่อนการตีพิมพ์ (มอบหมายให้กองบรรณาธิการพิจารณาต่อ) 3) ควรปรับปรุงแก้ไขก่อนการตีพิมพ์ (โดยส่งมาให้พิจารณาใหม่) 4) ไม่สมควรได้รับการตีพิมพ์ </p> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ (</strong><strong>Review criteria)<br /></strong> 1) บทความวิจัย และบทความวิชาการ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน<br /> 2) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ<br /> 3) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์<br /> 4) เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</p> th-TH Sat, 27 Dec 2025 21:40:36 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ซัพพลายเชนและคุณภาพการให้บริการโลจิสติกส์ต่อการปรับกลยุทธ์ของธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์: กรณีศึกษาเขตเมืองขอนแก่น https://so15.tci-thaijo.org/index.php/A_EMS/article/view/2356 <p>การวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นศึกษาปัจจัยด้านการบริหารห่วงโซ่อุปทานตามแนวคิด Triple-A และคุณภาพการให้บริการโลจิสติกส์ ที่มีผลต่อการปรับกลยุทธ์ของธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์ จังหวัดขอนแก่น การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือหลักในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ซึ่งเป็นผู้กำลังมองหา หรือต้องการผู้ให้บริการศูนย์อะไหล่รถยนต์ EV ที่ไม่ใช่ศูนย์บริการในพื้นที่ตัวเมืองขอนแก่น แบบสอบถามผ่านการตรวจ สอบความเที่ยงตรงโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน มีค่า IOC 0.98 ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ Cronbach’s Alpha กับกลุ่มนำร่อง 30 คนพบค่า 0.91 ข้อมูลที่ได้ถูกนำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1) การบริหารห่วงโซ่อุปทานอยู่ในระดับมากที่สุด (Mean = 4.77, S.D. = 0.45) 2) คุณภาพการให้บริการโลจิสติกส์อยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน (Mean = 4.76, S.D. = 0.45) 3) การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ พบว่าการบริหารห่วงโซ่อุปทาน และคุณภาพการให้บริการโลจิสติกส์ มีค่านัยสำคัญทางสถิติ (β = 1.10, P-value = 0.00) โดยภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 20–29 ปี และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001–20,000 แสดงให้เห็นว่าในยุคยานยนต์ต้องมีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับตัว และสร้างความโปร่งใสให้กับลูกค้า</p> รุจาภา คุณเทพ, ภัทรธิพร แพงวงษ์, วราลี ศรีหมอน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Applied Economics, Management and Social Sciences https://so15.tci-thaijo.org/index.php/A_EMS/article/view/2356 Sat, 27 Dec 2025 00:00:00 +0700 การยอมรับมาตรฐานการผลิตยางพาราอย่างยั่งยืนของเกษตรกร https://so15.tci-thaijo.org/index.php/A_EMS/article/view/2385 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เงื่อนไขและข้อจำกัดในการปรับตัวของเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ตลอดจนประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการปฏิบัติตามมาตรฐาน เพื่อเสนอแนวทางยกระดับศักยภาพเกษตรกรยางพาราไทย การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสานเก็บข้อมูลจากเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา 34 ราย ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและตราด ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ พบว่า เกษตรกรมีการยอมรับมาตรฐาน GAP ระดับปานกลาง และการยอมรับมาตรฐาน FSC ในระดับสูง ตัวชี้วัดของมาตรฐาน GAP ที่เกษตรกรไม่ยอมรับมากที่สุด ได้แก่ การใช้ตะแกรงกรองน้ำยางสดและการควบคุมค่า pH ของดิน ขณะที่ตัวชี้วัดมาตรฐาน FSC ได้แก่ การจัดทำแผนประเมินและบรรเทาความเสี่ยงด้านแรงงาน และการจ่ายค่าล่วงเวลา ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการยอมรับมาตรฐาน GAP ได้แก่ รายได้นอกภาคเกษตร ขนาดพื้นที่ปลูก และรูปแบบการจ้างแรงงาน ขณะที่การยอมรับมาตรฐาน FSC มีความสัมพันธ์กับรายได้ในภาคเกษตร การยอมรับมาตรฐานในระดับสูงสัมพันธ์กับผลผลิตและกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น โดยหากยกระดับมาตรฐาน GAP จากระดับน้อยเป็นมากสามารถเพิ่มกำไร 22,904 บาทต่อไร่ต่อปี และหากยกระดับมาตรฐาน FSC จากระดับน้อยเป็นมากสามารถเพิ่มกำไรเป็น 18,481 บาทต่อไร่ต่อปี ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมการยอมรับมาตรฐาน ได้แก่ การใช้กลไกราคาพรีเมียม การอุดหนุนค่าตรวจรับรอง การพัฒนาบุคลากรและระบบพี่เลี้ยง รวมถึงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมมาตรฐาน FSC อย่างเป็นระบบ</p> สุวรรณา สายรวมญาติ, กนกวรรณ นุชาญรัมย์, ธนาภรณ์ อธิปัญญากุล, จักรกฤษณ์ พจนศิลป์, กุลภา กุลดิลก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Applied Economics, Management and Social Sciences https://so15.tci-thaijo.org/index.php/A_EMS/article/view/2385 Sat, 27 Dec 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารสำเร็จรูปผ่าน TikTok Shop ของผู้บริโภคในจังหวัดฉะเชิงเทรา https://so15.tci-thaijo.org/index.php/A_EMS/article/view/2517 <p>ในยุคดิจิทัลที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียได้พัฒนาไปสู่การเป็นช่องทางโซเชียลคอมเมิร์ซ พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการซื้ออาหารสำเร็จรูปผ่านแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น เช่น TikTok Shop ซึ่งผสานรูปแบบความบันเทิงเข้ากับกิจกรรมทางการค้าและเอื้อต่อการตัดสินใจซื้ออย่างรวดเร็ว งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์และปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารสำเร็จรูปผ่าน TikTok Shop ของผู้บริโภคในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคที่เคยซื้ออาหารสำเร็จรูปผ่าน TikTok Shop ในจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 400 คน คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก และเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ประกอบด้วย One-way ANOVA และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ อาชีพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่แตกต่างกัน มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารสำเร็จรูปผ่าน TikTok Shop อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนี้ ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมทางการตลาด มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารสำเร็จรูปผ่าน TikTok Shop ของผู้บริโภคในจังหวัดฉะเชิงเทราอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ประกอบการและนักการตลาดปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับลักษณะด้านอาชีพและระดับรายได้ของผู้บริโภค พร้อมให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคาที่เหมาะสม การเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการจัดจำหน่าย และการใช้กิจกรรมส่งเสริมการตลาดบนแพลตฟอร์ม TikTok Shop เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ</p> ศศิธร ไชยมาตร, พัชรี ปรีเปรมโมทย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Applied Economics, Management and Social Sciences https://so15.tci-thaijo.org/index.php/A_EMS/article/view/2517 Sat, 27 Dec 2025 00:00:00 +0700 ภาพสะท้อนนโยบายรัฐบาลผ่านมุมมองคนขอนแก่น : การศึกษาความพึงพอใจต่อรัฐบาลในยุคเปลี่ยนผ่าน (พ.ศ. 2566–2568) https://so15.tci-thaijo.org/index.php/A_EMS/article/view/2476 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของประชาชนในเมืองขอนแก่น ต่อนโยบายรัฐบาลในยุคเปลี่ยนผ่าน (พ.ศ. 2566–2568) โดยใช้ระเบียบวิธีสำรวจเชิงปริมาณ ซึ่งประกอบด้วยการออกแบบแบบสอบถามที่ครอบคลุมนโยบายของรัฐบาล ความเข้าใจและการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับนโยบาย รวมถึงการตัดสินใจเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้น ประชากรคือประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งและมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเมือง จังหวัดขอนแก่น ในช่วงปี พ.ศ. 2566–2568 ในการเก็บข้อมูลได้สุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย และทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ประชาชนในเมืองขอนแก่นมีความพึงพอใจสูงโดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทและนโยบายพักหนี้เกษตรกร 3 ปี ซึ่งประชาชนมองว่าเป็นมาตรการที่ช่วยบรรเทาภาระทางเศรษฐกิจที่เผชิญในเวลานั้น โดยเฉพาะช่วงที่ค่าครองชีพสูงขึ้น ในขณะเดียวกันยังให้ความสนใจต่อนโยบายที่เกี่ยวกับการศึกษาและการสร้างงาน โดยการปรับเงินเดือนขั้นต่ำและเงินเดือนผู้สำเร็จการศึกษา นโยบายเหล่านี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชน โดยมองว่ามีผลกระทบเชิงบวกต่อโอกาสในการทำงานและคุณภาพชีวิต อีกทั้งยังมีการสนับสนุนให้มีการดำเนินนโยบายในลักษณะพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ นอกจากนี้ยังเผยให้เห็นถึงภาพรวมของพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในเมืองขอนแก่น โดยประชาชนเลือกที่จะพิจารณาเนื้อหานโยบายและผลประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ชีวิตประจำวันเป็นหลัก มากกว่าความเชื่อส่วนตัวหรือความเชื่อทางการเมืองแบบเดิม ๆ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนมีการตื่นตัวทางการเมืองและมีการใช้เหตุผลในการตัดสินใจมากขึ้น</p> พงษ์เพชร ล้านษาวงษ์, รสิตา ดาศรี, สุรัสวดี เชิดพานิชย์, กิตติศักดิ์ คณานับ, จินต์จุฑา ขุมทอง, จุฑาทิพย์ วิกล, วรรณิภา บุญพรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Applied Economics, Management and Social Sciences https://so15.tci-thaijo.org/index.php/A_EMS/article/view/2476 Sat, 27 Dec 2025 00:00:00 +0700 การแปรรูปขนมถั่วแปบทอด : กรณีศึกษา ชุมชนบ้านป่ายาง หมู่ที่ 4 ตำบลท่างิ้ว อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช https://so15.tci-thaijo.org/index.php/A_EMS/article/view/2339 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิธีการแปรรูปขนมถั่วแปบทอด 2) ศึกษาสภาพปัญหาการแปรรูปขนมถั่วแปบทอด 3) ศึกษาแนวทางส่งเสริมการแปรรูปขนมถั่วแปบทอด การวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ โดยคัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ เจ้าของสูตร ผู้สืบทอด ปราชญ์ชาวบ้านที่ทำขนมไทยและผู้นำชุมชน รวมจำนวน 6 คน และใช้การวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า 1) วิธีการทำขนมถั่วแปบทอด ดังนี้ (1) การเตรียมวัสดุและอุปกรณ์โดยปรับเปลี่ยนได้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมชุมชน (2) การเตรียมแป้งโดยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ยังคงสืบทอดกันมา เช่น การใช้ครกบดแป้งแบบดั้งเดิม (3) การทำไส้ขนมโดยใช้ถั่วเขียวและมะพร้าว (4) การทอด เริ่มตั้งแต่การเตรียมไฟเพื่อทำให้น้ำมันร้อนและทอด พลิกกลับด้านให้สุกทั่วถึงและเนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน 2) สภาพปัญหาการทำขนมถั่วแปบทอด ดังนี้ (1) ปัญหาด้านการเก็บวัตถุดิบและการรักษา เนื่องจากขนมไม่ใส่สารกันเสีย ทำให้แป้งและไส้เน่าเสียง่ายหากเก็บไม่ถูกวิธี (2) ปัญหาด้านกระบวนการทำขนม เช่น การทอดขนมพร้อมกันจำนวนมากเกินไปจนขนมติดกัน (3) ปัญหาด้านการเก็บรักษาขนม ขนมมีอายุสั้นเนื่องจากมีส่วนประกอบของน้ำมันและไม่ใส่สารกันเสีย มีกลิ่นหืนเมื่อเก็บไว้นาน 3) แนวส่งเสริมการทำขนมถั่วแปบทอด ดังนี้ (1) การสร้างโอกาสในอาชีพและสร้างรายได้เสริม ด้วยการสอนทำขนม สร้างโอกาสทางอาชีพและรายได้เสริม (2) ทักษะในการประกอบอาชีพและต่อยอดการพัฒนาอาชีพ เน้นการรักษาคุณภาพและมาตรฐานรสชาติ การวางแผนการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุน (3) การแลกเปลี่ยนความรู้และนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ โดยนำขนมไปจัดแสดงในงานต่าง ๆ และการจัดทำวิดีโอสอนทำขนมด้วยวิธีการที่ทันสมัย</p> วัลย์ลดา ปรีชารัตน์, อายลัดดา ฤทธิมาศ, เดโช แขน้ำแก้ว, เชษฐา มุหะหมัด, เมธิรา ไกรนที ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Applied Economics, Management and Social Sciences https://so15.tci-thaijo.org/index.php/A_EMS/article/view/2339 Sat, 27 Dec 2025 00:00:00 +0700